Wednesday, December 31, 2008

สวัสดีปีใหม่ 2552






วันนี้เป็นวันสิ้นปี 2551 แล้วครับ เป็นปีที่่ทุลักทุเลและรู้สึกว่ายาวนานเป็นพิเศษ กว่าจะมาถึงสิ้นปี
สำหรับปีใหม่ 2552 ขอให้พวกเราทุกๆ คนมีความสุข สมปราถนาดั่งใจหวัง

ขออนุญาต Happy New Year พวกเราทุกคนด้วย Video เพลงเพราะๆ ชื่อเพลง Happy New Year ของ Abba ครับ

Happiness is contagious: ความสุขแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้

ปกติเวลาเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา  พวกเราก็มักจะมองไปที่ปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือไม่ก็โทษดินฟ้าอากาศแปรปรวนว่าเป็นต้นเหตุให้เราเกิดอารมณ์เสีย  แต่จากการสำรวจของ Harvard Medical School ในสรัฐอเมริกา พบว่าอารมณ์ของเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่รายล้อมเรา พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเพื่อนฝูงที่อยู่ใกล้หรือคนในครอบครัวของเรายิ้มแย้มใจใส เราก็จะแจ่มใสไปด้วย และถ้าพวกเขารู้สึกแย่เราก็จะรู้สึกแย่ตามไปด้วย  จากการสำรวจยังพบว่าไม่เพียงแค่อารมรณ์ความรู้สึกเท่านั้น ที่สามารถแพร่ไปสู่ผู้อยู่ใกล้ชิด  ความอ้วนและการสูบบุหรึ่ก็สามารถแพร่ไปสู่ผู้อยู่ในสังคมเดียวกันด้วย


ผลการสำรวจบอกว่า เพื่อนบ้านหรือคนรู้จักที่อยู่ใกล้กับตัวเราที่กำลังมีความสุข มีโอกาสทำให้ตัวเราเองมีความรู้สึกเป็นสุขถึง 60% ที่น่าแปลกก็คือเพื่อนใกล้ชิดเพศเดียวกัน มีผลกระทบทางอารณ์สุขทุกข์มากกว่าคู่สามีภรรยาเสียอีก

Professor Nicholas Christakis  ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในคณะสำรวจ บอกว่า ความรู้สึกเป็นสุขแพร่กระจายเหมือนโรคติดต่อ  ความรู้สึกเป็นสุขของเราไม่ได้เกิดจากความคิดและการกระทำของเราเท่านั้น แต่ยังมาจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งบางครั้งเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครด้วยซ้ำไป

รายงานจาก New Scientist บอกว่าปรากฎการณ์หลายๆอย่างเช่น อารณ์สุขทุกข์ซึมเศร้า ความอ้วน การติดเหล้า ติดบุหรี่ ยาเสพติด รสนิยมทางดนตรี อาหาร สุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ แนวความคิด หรือแม้กระทั่งเรื่องการคิดสั้น  ล้วนสามารถแพร่ถึงกันด้วยเครื่อข่ายทางสังคมเช่นเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก

บทสรุปของ New Scientist ก็คือถ้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีต่างๆ ก็ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะคบหาเป็นเพื่อนกับใคร

ที่มา: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1103218/Happiness-contagious-smoking-snacking.html?ITO=1490

Monday, December 29, 2008

How To Deal With A Hangover: เมาค้างทำอย่างไรดี

อีกไม่กี่วันก็จะย่างเข้าปีใหม่แล้ว  ตอนนี้หลายๆ คนก็วุ่นวายอยู่กับงานฉลองกับเพื่อนสนิทบ้าง กับเพื่อนที่ทำงานบ้าง กับเพื่อนบ้านบ้าง ถ้าเป็นงานฉลองที่ปลอดแอลกอฮอลล์ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร  แต่ถ้าทุกๆ งานมีแอลกอฮอลล์เป็นตัวชูโรง และเราไม่ควบคุมตัวเอง ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เกินขนาด รับรองได้ว่าปัญหาที่เราต้องเจอแน่ๆ ก็คืออาการเมาค้างนั่นเอง

Lifehackery แนะนำวิธีแก้อาการเมาค้างไว้ 9 วิธีด้วยกัน  ใครที่มีอาการเมาค้างสามารถทดลองนำไปใช้ดู ได้ผลอย่างไรก็แจ้งให้ทราบด้วยครับ

1. Take a Cold Shower  การอาบน้ำเย็นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายและสมองเกิดความกระปรี้กระเปร่า และลดอาการปวดศีรษะวิงเวียนจากอาการเมาค้างได้

2.  Sports Drinks   การดื่มน้ำมากๆ สามารถลดอาการเมาค้างได้ ยิ่งถ้าเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ก็จะช่วยให้ร่างกายเรารู้สึกดีขึ้นได้เร็วกว่าเดิม

3. Sleep Some More  ถ้าอาการเมาค้างทำให้เรารู้สึกง่วงนอนจนลุกไม่ขึ้น การนอนต่ออีกสักพักใหญ่จะช่วยลดอาการเมาค้างได้เช่นกัน

4. Eat Fruits  ผลไม้อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน C  ซึ่งสามารถต่อสู้กับอาการเมาค้างได้ดี การรับประทานผลไม้เช่นส้ม กล้วย แอปเปิ้ล จะะช่วยให้อาการเมาค้าง ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ

5. Swim  ขณะว่ายน้ำ น้ำในสระจะช่วยกระตุ้นการทำงานทุกระบบในร่างกาย นอกจากนี้น้ำยังช่วยให้สมองรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง ลดอาการเมาค้างได้เช่นกัน

6. Sweat and Urine  ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเมาค้าง จะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะและทางผิวหนังในรูปของเหงื่อ  การออกกำลังเพื่อเรียกเหงื่อ จะช่วยให้สารเคมีตกค้างถูกขับออกมากับเหงื่อ ในขณะที่การรับประทานน้ำมากๆ ทำให้สารเคมีตกค้างถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ

7. Hot and Spicy  เครื่องดื่มร้อนๆ หรืออาหารที่มีรสเผ็ดร้อน สามารถช่วยลดอาการเมาค้างได้เช่นกัน  ความร้อนช่วยให้ร่างกายชับเหงื่อ และกระตุ้นพลังงานในร่างกายให้กลับคืนมา

8. Baking Soda Solution  เชื่อกันว่าการดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของ Baking Soda  จะช่วยให้อาการเมาค้างค่อยๆ ดีขึ้น

9. Increased Magnesium Intake  แร่ธาตุ Magnesium สามารถแก้อาการปวดหัวจากการเมาค้างได้เป็นอย่างดี  Magnesium มีอยู่มากในผัก ถั่ว ชา โกโก้


วิธีแก้อาการเมาค้างทั้งหมด ทำได้เพียงช่วยให้อาการเมาค้าง ค่อยดีขึ้น  วิธีป้องกันการเมาค้างที่ดีที่สุดก็คือการจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ หรืองดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์อย่างเด็ดขาด

Saturday, December 27, 2008

How Much Time Does It Take To Burn xxxx Calories?

ทุกสิ่งทุกอย่าง (นอกจากน้ำ) ที่เรากินหรือดื่ม ล้วนแต่ให้พลัีงงาน (calories) เมื่อไรก็ตามที่พลังงานที่เราได้รับมากกว่าที่ถูกนำไปใช้งาน  ส่วนเกินก็จะถูกสะสมไว้ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วน




ถ้าพวกเราต้องการทราบรายละเอียดว่า ควรใช้เวลานานแค่ไหนในการทำกิจวัตรประจำวันหรือออกกำลังกาย เพื่อสามารถเผาผลาญแคลอรี่ในปริมาณที่เราต้องการ  สามารถให้ website Health Assist ช่วยคำนวณให้  เราเพียงแค่กรอกนำหนักตัวเป็นปอนด์ และปริมาณแคลอรี่ที่ต้องการเผาผลาญให้หมดไป  website แห่งนี้จะคำนวณให้เสร็จสรรพว่า มีกีฬาประเภทใด หรือ กิจวัตรประจำวันอะไรบ้างและใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเผาผลาญแคลอรี่ตามที่เราระบุได้หมด  (ตามภาพ)  ซึ่งสามารถเป็นแนวทางให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักตัวอย่างได้ผล

เราสามารถคำนวณการเผาผลาญแคลอรี่ได้จาก: http://www.healthassist.net/nutrients/calorie-burn.shtml

How To Check Bank Notes

วิธีการตรวจสอบธนบัตร


การสัมผัส


1.เนื้อกระดาษธนบัตรเป็นกระดาษชนิดพิเศษ มีความเหนียว แกร่ง ทนต่อการพับดึง และให้ความรู้สึกเมื่อสัมผัสต่างจากกระดาษทั่วไป

2.ลวดลายเส้นนูนที่บริเวณคำว่า "รัฐบาลไทย" เมื่อใช้ปลายนิ้วลูบสัมผัสบริเวณดังกล่าวจะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์

การยกส่อง


1. เมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่างบริเวณพื้นที่ว่างด้านขวาของธนบัตร จะเห็นลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ซึ่งอยู่ในเนื้อกระดาษอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ประดับด้วยรูปลายไทยขนาดเล็กที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ



2. บริเวณด้านซ้ายของธนบัตรใกล้กับพระครุฑพ่าห์ มีแถบสีโลหะขนาดเล็กฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ ตามแนวตั้งบนแถบมีตัวเลขและอักษรขนาดเล็กแจ้งชนิดราคาธนบัตรฉบับนั้น

การพลิกเอียง


1. ธนบัตรชนิดราคา 500 และ 1,000 บาท ที่ตัวเลขอารบิกแจ้งราคามุมขาวบนพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ชนิดพิเศษที่เปลี่ยนสลับ สีเมื่อเปลี่ยนมุมมอง ซึ่งธนบัตรปลอมไม่มี โดยธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาท จะเปลี่ยนสลับจากส่วนที่เป็นสีทองเป็นสีเขียว และธนบัตรชนิดราคา 500 บาท เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วง



2. ธนบัตรชนิดราคา 100, 500 และ 1,000 บาท ผนึกแถบฟอยล์สีเงินแนบเป็นเนื้อเดียวกับกระดาษ ซึ่งแถบฟอยล์ดังกล่าว จะมองเห็นหลากสีหลายมิติเมื่อพลิกเอียงธนบัตรไปมา

นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังคงมีธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาท รุ่นเก่าที่ไม่มีแถบฟอยล์สีเงินจำนวนหนึ่งใช้หมุนเวียนควบคู่กับธนบัตรชนิด ราคา 1,000 บาทรุ่นปกติที่มีแถบฟอยล์สีเงิน



 
 



 
  
  
(Click ที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดใหญ่)
ชมวีดิทัศน์วิธีตรวจสอบธนบัตร
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย

Friday, December 26, 2008

How To Apply False Eyelash: สาธิตการติดขนตาปลอม

หลายวันก่อนนำ clip สาธิตการเขียนขอบตามาฝากสาวๆ ที่ติดตาม Thaiblogzine  คาดไม่ถึงว่า clip นี้ได้รับความสนใจมาก  วันนี้เลยนำ clip ที่เกี่ยวข้องกันมาฝาก  คราวนี้เป็นสาธิตการใช้ขนตาปลอม  หวังว่าจะเป็นประโยชน์เช่นกัน




Thursday, December 25, 2008

How To Manage In Business Downturn -10 วิธีบริหารช่วงเศรษฐกิจขาลง

บทความนี้มาจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 25 - วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2551  เป็นคำแนะนำวิธีการบริหารงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ  คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนสามารถนำมา ปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้  ขอบคุณหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจเป็นอย่างสูง ณ ที่นี้ด้วยครับ:-

แน่นอนว่า ในปี 2552 ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ มากมายในทางลบ กระบวนการตั้งรับที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญมากของทุกองค์กร

เมื่อ เร็วๆ นี้ "ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส" (PricewaterhouseCoopers หรือ PwC) บริษัทให้คำปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญจนเป็นที่ยอมรับในภูมิภาคต่างๆ มีพนักงานกว่า 140,000 คน ใน 149 ประเทศ ได้ประเมินและวิเคราะห์ว่า ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีโอกาสทางธุรกิจอยู่และเชื่อว่าองค์กรที่จะ ผ่านพ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ควรให้ความสำคัญกับ "10 วิธีการบริหารในช่วง เศรษฐกิจขาลง"


1.พิจารณาอย่างถี่ถ้วน

สถานการณ์ ที่เป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่คุณเชื่อ ความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจ ผลกระทบทางธุรกิจจากเศรษฐกิจขาลง อะไรที่เป็น และจะเป็นตัวผลักดันที่แท้จริงที่จะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ จะต้องพิจารณาทั้งในแง่ของประเภทธุรกิจ ตัวผลิตภัณฑ์ ลูกค้า สภาพตลาด และสภาวะของการแข่งขัน ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญและยินดีที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มามากที่ สุด

นอกจากนั้นยังต้องรู้ว่าคู่แข่งขันกำลังทำอะไรอยู่ และวางแผนจะทำอะไรต่อไป

2.ลงมือทำอย่างรอบคอบและมั่นใจ

ท่าม กลางความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น การตัดสินใจอย่างทัน ท่วงทีเป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้บริหารองค์กรควรมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่ทำให้เพิ่มคุณค่าและปัจจัยเสี่ยง หลักของธุรกิจ อย่าเพิกเฉยละเลย เพราะผู้ชนะคือผู้ที่สามารถใช้ข้อได้เปรียบในภาวะที่เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น อีกครั้ง

ภาวะความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งต้องมาพร้อมกับทักษะที่จำ เป็นรอบด้าน วันนี้สิ่งที่ ผู้บริหารองค์กรต้องถามตัวเองตลอดเวลา คือ คุณมีบุคลากรเช่นนั้นหรือยัง ?

และจะต้องให้ความสำคัญใน "สิ่งที่ควรจะทำ" มากกว่า "สิ่งที่อยากจะทำ"

มี การพิจารณาไตร่ตรองความเสี่ยงหลักในปัจจุบัน และให้ความสำคัญให้ถูกจุดกับสิ่งที่ได้ประเมินมาแล้ว ที่สำคัญต้องริเริ่มที่จะทำอะไรใหม่ๆ มีความกระตือรือร้น สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และหันกลับมามองทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่เพื่อนำไปขับเคลื่อนธุรกิจ

3.วิธีการบริหารเงิน

จะ ต้องมั่นใจว่าการเงินของคุณนั้นยังคงสามารถรักษาสภาพคล่องได้ โดยที่มีการสำรวจสินทรัพย์ทางการเงิน การได้มาซึ่งเงินทุน การสำรองไว้ซึ่งเงินบำเหน็จบำนาญ ติดตามผลการดำเนินงานในเรื่องภาระผูกพันทั้งทางด้านการเงินและมิใช่การเงิน มีการนำยุทธวิธีความร่วมมือมาใช้ในการจัดการเงินสด

ฉะนั้น วันนี้ผู้บริหารจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณมีความเข้าใจภาระหน้าที่ในการชำระหนี้ของคุณแค่ไหน ? คุณได้ รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทางการเงินบ่อยแค่ไหน และพวกเขาได้รับทราบสถานการณ์ปัจจุบันมาก แค่ไหน ?

4.จัดลำดับความสำคัญ

โดย ประเมินว่าผลิตภัณฑ์อะไร ลูกค้าประเภทไหน และช่องทางการจำหน่ายในการที่จะสร้างหรือทำลายคุณค่าขององค์กรเป็นอย่างไร โดยทบทวนโครงการการลงทุนที่มีอยู่ และโครงการที่กำลังจะเริ่มว่าควรหยุด หรือดำเนินต่อไป

ซึ่งทั้งหมดประเมินได้จากปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ลูกค้ารายใดที่ลดปริมาณการ สั่งซื้อลง และคุณจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร ? ผลิตภัณฑ์ใด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ใดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างกำไรอย่างแท้จริง หรือคุณจะสามารถเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อจากช่องทางการจัด จำหน่ายใหม่ๆ ได้อย่างไร

โครงการการลงทุนใดที่จะช่วยให้คุณฝ่าฟันวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ และโครงการลงทุนใดที่ยังชะลอออกไปได้ก่อน

หากมุ่งความสนใจไปยังธุกริจหลักของคุณ ผลิตภัณฑ์ใด ลูกค้ารายไหน และ ช่องทางการจัดจำหน่ายใด ที่คุณควรจะให้ความสำคัญ

5.การบริหารจัดการกับต้นทุน

จะ ต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นถึงคุณค่าที่ดีขึ้น ลดความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น อีกทั้งพิจารณาว่าลักษณะการดำเนินธุรกิจควรที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่

โดยพิจารณาจากต้นทุนการดำเนินงานเปรียบเทียบกับการเพิ่มมูลค่า

ใน ส่วนของต้นทุนจะต้องดูว่า ธุรกิจที่ทำอยู่นั้นได้ดำเนิมาถูกทางหรือไม่ แล้วคุณได้ใช้ความสามารถและข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างเต็มที่แล้วหรือ ยัง

บริษัทได้ขจัดความสิ้นเปลืองออกไปแล้วหรือยัง การดำเนินธุรกิจนั้นเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแล้วหรือไม่ และที่ผ่านมาสามารถใช้วิธีการจัดหาทรัพยากรที่ดีขึ้นได้หรือไม่

สำหรับ การเพิ่มมูลค่า ผู้บริหารจะพิจารณาว่ามีต้นทุนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง แล้วอะไรคือประโยชน์ที่ได้จากสินค้าอย่างแท้จริง กิจกรรมใดที่ก่อให้เกิดกำไรและการดำเนินงานตรงจุดไหนที่ทำให้สูญเสียรายได้

6.บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

ความถูกต้องของ ข้อมูลที่ใช้ในการบริหารในปีหน้าจะมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็น เพราะการกำหนด KPI ที่ชัดเจนสามารถวัดความมีประสิทธิผลของการดำเนินงานที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ ลูกค้าและกิจการได้ ดังนั้นการตัดสินใจต้องอยู่บน พื้นฐานของข้อเท็จจริงและทันต่อเวลา

ผู้บริหารจะต้องมองย้อนกลับไปในอดีตว่าระบบขององค์กรได้สร้างข้อมูลที่มีประโยชน์ในระดับไหน

7.เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวน

ผู้ ที่จะได้ชัยชนะจะต้องแสดงให้เห็นถึงความฉับไวและการปรับตัวต่อสถานการณ์ ต่างๆ โดยการจำลองสถานการณ์ที่จะสะท้อนถึงปัจจัยทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปและวาง แผนสำหรับเหตุการณ์เหล่านั้น

ผู้บริหารจะต้องพิจารณาว่า ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลงอย่างไร และที่ผ่านมามีตัวแปรที่ใช้ในการสร้างสถานการณ์จำลองได้คำนึงถึงผลการดำเนิน งานและช่วงระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

อะไรคือจุดบกพร่องของโครงสร้างทางธุรกิจ และโครงสร้างนั้นยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมใหม่ๆ หรือไม่

นั่นคือผู้บริหารองค์กรจะต้องมีการประเมินสถานการณ์จำลองและวิธีการรับมือต่อปัญหาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ

8.ช่วงสำคัญในการบริหารทรัพยากรบุคคล

กุญแจ สำคัญคือ การสื่อสารกับ พนักงานอย่างสม่ำเสมอและชัดเจน ระบุความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของพนักงานที่จำเป็นต่อองค์กร และมีการพัฒนาแรงจูงใจที่เหมาะสมให้แก่บุคลากร ไม่จำกัดการใช้ทรัพยากรแค่คนในองค์กร โดยอาจ มีการจัดจ้างจากภายนอก (outsourcing) แต่ควรที่จะรักษาคนที่มีความรู้ความสามารถไว้ในองค์กร

สิ่ง ที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณามากเป็นพิเศษ คือ ความต้องการของคนในองค์กรจะถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมทาง เศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างไร ที่ผ่านมาได้ใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างไรเพื่อที่จะสะท้อนกับผลการดำเนินงานที่ เปลี่ยนแปลงไป หรือมีการสร้างแรงจูงใจและให้ผลตอบแทนต่อพนักงานในองค์กรอย่างไร

ที่ มากกว่านั้นพนักงานมีความพอใจต่อกลยุทธ์การให้รางวัลตอบแทนขององค์กรมากน้อย เพียงใด และใช้ระบบการประเมินผลการทำงานอย่างไรที่จะสามารถวัดได้ถึงความร่วมมือที่ พนักงานมอบให้แก่องค์กร

ในส่วนของพนักงานไฟแรงให้ความสำคัญกับพวกเขาขนาดไหน

สุดท้ายผู้บริหารทุกคนจะต้องตอบให้ได้ว่า ได้สื่อสารกับพนักงานของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไร

9.คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอยู่เสมอ

ทุก องค์กรจะต้องประเมินผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจขาลง ทำความเข้าใจภาพรวม เพราะการรับรู้จะเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องมีการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและทันเวลา

ดัง นั้น ผู้บริหารจะต้องรู้ว่าใครคือผู้มีส่วนได้เสียหลักของธุรกิจ และสังเกตทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงของผู้มีส่วนได้เสียที่อาจจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจแล้วพัฒนาแผนการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อให้ทั้งบุคคลภายนอกและภายในมั่น ใจว่าองค์กรมีการนำแผนที่มีการประมาณการนั้นมาใช้จริง

นอกจากนั้นแล้วควรให้คนในองค์กรได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์ของธุรกิจและสิ่งที่ต้องการปฏิบัติร่วมกัน

10.น้ำขึ้นให้รีบตัก

ภาวะ วิกฤตหลายองค์กรมักจะตัดงบฯลงทุนต่างๆ มีเพียงซีอีโอไม่กี่องค์กรที่เดินสวนกระแสเลือกที่จะลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขา ลง ในส่วนของไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์สก็เห็นว่าทุกองค์กรไม่ควรหยุดสร้างนวัตกรรมหรือการลงทุนในส่วนที่จะ เจริญเติบโตในอนาคต เพราะตรงนี้คือโอกาส

Wednesday, December 24, 2008

Tips for Acnes: เคล็ดลับเรื่องสิว

สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเคยเป็นสิว แต่ก็ไม่มีใครอยากเป็นสิว สิวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นการรักษาความสะอาด การแพ้ยาบางชนิด ระดับฮอร์โมนในร่างกาย ฯลฯ วันนี้มีเคล็ดลับที่ช่วยลดการเป็นสิวมาฝากพวกเรา โดยนำมาจาก http://www.healthassist.net/tips/tips-acne.shtml เป็นวิธีการดูแลตนเองแบง่ายๆ ซึ่งผู้มีปัญหาเรื่องสิวสามารถปฏิบัติตามได้ทันที โดยไม่มีผลเสียแต่อย่างใด

1. Avoid excess exposure to sunlight หลีกเลี่ยงจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ และอย่าโดนแสงแดดจัดๆ

2. Gently wash and dry acne-prone areas ชำระล้างบริเวณที่เป็นสิวด้วยน้ำและสบู่ที่มีฤทธิ์อ่อน เพียงวันละ 2 ครั้ง การล้างจะช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกิน สิ่งสกปรก และ เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันของต่อมไขมัน แต่การชำระล้างบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวหนังเกิดระคายเคืองได้เฃ่นกัน สบู่ที่ใช้ควรมีฤทธิ์อ่อน ไม่มีส่วนประกอบของไขมัน

3. Avoid heavy foundation cosmetics หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไขมันหรือมีสภาพเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งทำให้สิวลุกลามได้ เลือกเครื่องสำอางที่เป็นแบบ powder cosmetics และหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางแบบที่เป็นครีม เลือกเครื่องสำอางที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิว

4. Remove makeup before going to bed ล้างเครื่องสำอางจากใบหน้าก่อนนอน

5. Shower after exercise or strenuous work อาบน้ำชำระร่างกายหลังการออกกำลังกายหรือทำงานที่เสียเหงื่อ เพราะไขมันและคราบเหงื่อบนผิวหนังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคบนผิวหนัง และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

6. Do NOT pop, squeeze or pick at acne ห้ามบีบสิวบนใบหน้าเด็ดขาด เพราะมันเป็นการทำให้การอักเสบของสิวลุกลามมากขึ้น

7. Reduce and control stress ความเครียดทำให้สิวลุกลามมากกว่าเดิม อารมณ์เครียดทำให้ร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ทำให้สิวลุกลามมากขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยลดความเครียดภายในร่างกาย และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นกว่าเดิม

8. Drink Water ดื่มน้ำมากๆ น้ำจะช่วยให้การขับของเสียของผิวหนังมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

9. Hair care รักษาความสะอาดของเส้นผมด้วยการสระผมบ่อยๆ เพื่อป้องกันไขมันและสิ่งสกปรกบนเส้นผมกระทบกับใบหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน

10. Eat foods rich in beta-carotene (Vitamin A) วิตามิน A จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหนังและเป็นการป้องกันสิวไปในตัว อาหารที่อุดมด้วยวิตามี A ยังช่วยกำจัดสารพิษจากร่างกายและยังสามารถซ่อมแซมผิวหนังให้คืนสู่สภาพเดิมอีกด้วย

11. Eat Food Rick In Zinc  สังกะสีมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย  การรับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสี ช่วยลดการเกิดสิว

12.  Avoid Touching Your Face  มือของเรามีไขมันและเชื้อโรคที่มาจากการสัมผัสสิ่งของ  การใช้มือสัมผัสใบหน้าตัวเองบ่อยๆ ทำให้สิวลุกลามได้ง่าย  นอกจากมือแล้วอุปกรณ์ที่สัมผัสกับใบหน้าโดยตรงเช่น โทรศัพท์มือถือ แว่นตา  ต้องได้รับการดูแลให้สะอาดด้วย

13. Dairy Products ในบางคนผลิตภัณฑ์จากนมอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้  ถ้าหากเรามีปัญหาสิวที่เกิดจากอาหารทีมาจากนมก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมเช่น นมสด โยเกิร์ต ช็อคโกแลท ฯลฯ

Tuesday, December 23, 2008

Tips To Cut Cancer Risk: ลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง

มะเร็งเป็นสาเหตุต้นๆ ของการเสียชีวิตของประชากรในโลก จนถึงขณะนี้ยังไม่มีวิธีรักษาโรคมะเร็งที่ได้ผล 100% วิธีที่ดีที่สุดก็คือการระวังรักษาตัวเองเพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ ข้อมูลจาก Wired.com แนะนำวิธีลดโอกาสเสี่ยงการเกิดมะเร็งไว้ดังนี้


1. Do Not Smoke  การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งหลายที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งที่ปอด ข้อมูลจาก The American Cancer Society บอกว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่มากกว่าปีละ 165,000 รายต่อปี

2. Stay Active ความอ้วนและขาดการออกกำลังกายมีความเกี่ยวข้องกับการมะเร็ง การออกกำลังกายวันละครี่งชั่วโมงเป็นประจำ สามารถลดอัตราเสี่ยงนี้ได้

3. Eat Plenty of Fruits and Vegetables ผักและผลไม้มีแร่ธาต วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ ทุกคนควรรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำในปริมาณมากกว่าอาหารประเภทอื่น เหมือนที่เราเห็น slogan จากกระทรวงสาธารณสุขทางโทรทัศน์ว่า "ผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง" ข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผักผลไม้ที่มีสีสันเข้มมักจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่า

4. Limit the amount of red meat and processed meats จำกัดการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสีเข้ม (เนือวัว เนื้อแพ เนื้อแกะ เนื้อหมู) รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธี เช่นไส้กรอก กุนเชียง รวามทั้งเนื้อสัตว์ที่มีไขมันอยู่มาก เนื้อสัตว์ที่ควรรับประทานได้แก่เนื้อปลา


5. Avoid deep-fat frying หลีกเลี่ยงอาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน โดยใช้การต้ม อบ นึ่งแทน

6. Limit your alcohol consumption จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ หรืองดดื่มถ้าเป็นไปได้ เพื่อป้องกันการเป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด

7.Protect yourself in the sun ป้องกันการถูกแสงแดดเป็นเวลานานเกินไป โดยการใช้ sunscreen ,โลชั่นกันแดด เพื่อป้องกันรังสี Ultraviolet จากแสงแดดที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งบางชนิด

8. HPV vaccine เด็กผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ควรได้รับการฉีด HPV vaccine เพื่อป้องกันการติดเชื้อ human papillomavirus ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก

Sunday, December 21, 2008

Sex -Related Sneezing : อาการจามเมื่อคิดถึงเรื่องทางเพศ

Dr. Mahmood Bhutta นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู ตอ จมูก  จากโรงพยาบาล John Radcliffe ในเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ได้บรรยายไว้ใน Journal of the Royal Society of Medicine ถึงอาการจามที่เกิดขึ้นกับชายและหญิงจำนวนหนึ่ง เมื่อถูกกระตุ้นทางเพศ  โดยเขาเชื่อว่าการจามที่เกิดขึ้นนี้มีส่วนคล้ายกับอาการจามที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนหนึ่งที่จะเกิดการจามเมื่อเจอกับแสงแดดจัดๆ ( light-sensitive sneezing)

 
 Dr. Mahmood Bhutta เริ่มศึกษาเรื่องนี้หลังจากที่มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมาพบเขา เพื่อปรึกษาเรื่องการจามที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งต่อเนื่องกันเมื่อเขาถูกกระตุ้นให้มีความรู้สึกทางเพศ  Dr. Mahmood เริ่มค้นคว้าจากสถิติทางการแพทย์ที่มีการบันทึกไว้ รวมถึงการเข้าไปพูดคุยใน Chat Rooms ทาง Internet เพื่อประเมินดูว่ามีใครบ้างที่ประสพปัญหาในลักษณะใกล้เคียงกัน

Dr. Mahmood บอกว่าน่าแปลกใจมากเมื่อพบว่า มีผู้คนจำนวนมากที่มีอาการจามเมื่อคิดถึงเรื่องเพศ  ทั้งเพศชายและเพศหญิงจำนวน 17 รายบอกว่าเมื่อคิดถึงเรื่องเพศเมื่อไรก็จะมีการจามทันที ในขณะที่อีก 3 คนจะจามภายหลังเสร็จกิจทางเพศ  Dr. Mahmood  กล่าวว่า ถึงแม้ข้อมูลจาก Internet จะไม่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจนถึงลักษณะอาการที่เกิดขึ้นได้มากนัก  แต่อย่างน้อยมันก็บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่ประสพปัญหานี้ มีอยู่มากกว่าที่เราเคยทราบกัน

Dr. Mahmood เชื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดพลาดในการส่งสัญญานของระบบประสาทอัตโนมัติ  เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมการหายใจ ความดันเลือด การจาม การย่อยอาหาร ฯลฯ ล้วนอยู่ใกล้ชิดกันในแกนสมอง  ซึ่ง Dr. Mahmood คาดว่าอาการจามเมื่อถูกแดด  ( light-sensitive sneezing) และอาการจามเมื่อคิดถึงเรื่องเพศ  (sex-related sneezing) น่าจะเกิดจากการทำงานผิดพลาด ในการส่งสัญญานของระบบประสาทอัตโนมัตินั่นเอง

 Dr. Mahmood เชื่อว่าอาการนี้น่าจะถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ด้วย  แต่ก็เป็นการยากที่จะรู้ได้แน่ชัด เพราะคงไม่มีการปรึกษาอาการแบบนี้กันในครอบครัว

ข้อมูลทั้งหมดได้มาจาก http://www.dailymail.co.uk/femail/article-1098568/Sneezing-lot-You-thinking-sex.html จะจริงหรือไม่ก็คงต้องมีการศีกษาเพิ่มเติมกันไปเรื่อยๆแหละครับ

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับการจามครับ

  • การจามแต่ละครั้ง ลมที่ออกจากจมูกมีความเร็วถึง 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ซึ่งเร็วพอๆ หรือเร็วกว่าพายุไต้ฝุ่นด้วยซ้ำไป
  • การจามแต่ละครั้ง จะมีละออกของน้ำลายออกมาด้วยถึง 4 หมื่นหยดเล็กๆ
  • จากการศึกษาพบว่าหากกดแรงๆ บริเวณด้านล่างของจมูกที่ติดกับริมฝีปาก จะช่วยบรรเทาอาการจามได้
  • ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าการจามเป็นการส่งสัญญานมาจากพระเจ้า
  • ทุกครั้งที่จาม สมองจะสั่งให้หลับตาโดยอัตโนมัติ
  • ถ้าเราขับรถด้วยความเร็ว 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกิดการจามขึ้น ภายในเสี้ยววินาทีที่เราหลับตารถจะเคลื่อนตัวไปแล้งถึง 100 เมตร

Friday, December 19, 2008

Why Do We Have Bad Dreams?- อะไรกระตุ้นให้เกิดฝันร้าย

ไม่มีใครชอบแน่ที่นอนหลับสบายๆ อยู่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเกิดฝันร้าย  ยิ่งถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำ ก็อาจทำให้สุขภาพจิตเสียไปด้วย ฝันร้ายเกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ทารกจนถึงวัยชรา อย่างไรก็ตามเราอาจลดหรือป้องกันไม่ให้เกิดฝันร้ายกับตัวของเราได้บ่อยๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุสำคัญ ๆ ทีกระตุ้นให้เกิดการฝันร้ายบ่อยๆได้



1. Anxiety and Stress  ความกระวนกระวายใจและความเครียด เป็นสาเหตุหนี่งที่ทำให้เกิดการฝันร้ายและนอนละเมอ  International Association for the Study of Dreams (IASD) บอกว่าหลังอาการเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดใหญ่ รวมทั้งความเสียใจจากการสูญเสียคนรัก และการเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญเช่นอุบัติเหตุร้ายแรง ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดฝันร้ายและการนอนละเมอทั้งสิ้น

2. Spicy Foods  แม้แต่อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน ก็มีผลให้เกิดการฝันร้ายได้เช่นกัน International Journal of Psychophysiology  ได้ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่มีร่างกายแข็งแรง โดยให้รับประทานอาหารที่มีรสชาดเผ็ดร้อนก่อนนอน  ผลปรากฏว่าในวันที่มีการกินอาหารรสชาดเผ็ดร้อน จะมีการตื่นนอนเป็นระยะๆ ของกลุ่มตัวอย่าง และนอนหลับไม่สนิท  มากกว่าในวันที่ทานอาหารรสชาดปกติ

3. Fat Content of Food  ถึงจะยังไม่ได้ผลสรุปที่แน่ชัด แต่จากการสำรวจก็พบว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันมากๆ ในระหว่างวัน จะทำให้นอนหลับไม่สนิท และผันร้าย Psychological Reports ตีพิมพ์เมื่อปี 2007 ผู้ที่รับประทานอาหารประเภทจานด่วนเป็นประจำกับผู้ที่รับประทานอาหารคุณภาพเป็นประจำจะฝันคนละลักษณะกัน  โดยอาหารจานด่วนที่อุดมด้วยไขมัน แป้ง น้ำตาล ทำให้การฝันเป็นไปในด้านลบ

4. Alcohol  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในปริมาณมากมีผลให้เกิดการฝันร้ายและนอนละเมอ  การดื่มสุราอาจช่วยให้บางคนนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ก็เป็นสาเหตุให้ตื่นก่อนเวลาเช่นเดียวกัน  นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ระหว่าง การเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ก็จะมีการฝันร้ายเกิดขึ้นได้บ่อยๆ

5. Drugs  ยาหลายชนิดมีผลให้เกิดฝันร้าย  รวมถึงยากล่อมประสาทและยาต้านอาการซึมเศร้าก็อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการฝันร้ายหรือนอนละเมอได้

6. Illness  ในระหว่างการเจ็บไข้ เช่นเป็นหวัดและมีไข้สูง ก็จะทำให้เกิดอาการนอนละเมอและฝันร้ายได้เช่นกัน

การหลีกเลี่ยงจากสาเหตุที่ทำให้ฝันร้ายทั้ง 6 สาเหตุ จะช่วยให้การฝันร้ายลดลง แต่ถ้าอาการฝันร้ายยังเกิดขึ้นเป็นประจำ แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ครับ

source:
http://www.divinecaroline.com/article/22201/62493-six-reasons-dreams/2

Thursday, December 18, 2008

How To Get Out Of A Car - ลงจากรถอย่างไรไม่เปิดหวอ

เคยอ่านในหนังสือนิตยสารบางเล่มบอกว่า การก้าวตามแฟชั่นสมัยใหม่ของสาวๆ สมัยนี้ ไม่ยากเท่ากับการก้าวลงจากรถโดยไม่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน หรือถ้าโชคร้ายมากๆ อาจถูกแอบถ่ายเป็น Clip โดยไม่รู้ตัว

มาชมวิธีการก้าวลงจากรถยนต์อย่างถูกวิธี จาก clip นี้กัน


General Etiquette:How To Get Out Of A Car Without Showing Your Knickers

Wednesday, December 17, 2008

How To Turn an email into a Google doc - Gmail New Feature

มีบางครั้งที่เราต้องการสร้าง file Document จากเนื้อหาที่อยู่ใน Email โดยปกติเราก็จะ copy ข้อความที่เราต้องการ และนำไป paste ไว้ใน file เอกสารอีกครั้งหนึ่ง แต่สำหรับพวกเราที่ใช้ Gmail และ Google Docs (ระบบสำนักงาน online ของ Googles) จะสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น จาก feature ใหม่ของ Gmail -Create A Document

ขั้นตอนแรกสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ feature - Create A Document ก็ให้ Click ที่ Settings>Labs และเลือกปุ่ม Enalble จากหัวข้อ Create Documents และ กดปุ่ม Save Changes จากนั้นไปที่หน้า Settings>General จากหัวข้อ Keyboard Shortcuts เลือกปุ่ม Keyboard Shortcuts on และกดปุ่ม Save Changes


หลัง จากนี้เมื่อเรา open message ใน Gmail เราจะเห็น link (ตามภาพ) เมื่อเราต้องการเปลี่ยน Email ฉบีบนี้ ให้เป็น file Document ใน Google Docs ก็เพียงแต่ Click ที่ link "Create A Document" เราก็จะได้ file Document จาก email ฉบับนี้ทันทีซึ่งเราสามารถจะทำการแก้ไขปรับปรุง file Document ได้จาก Google Docs โดยตรง

นอกจากนี้เรายังสามารถเปิด Blank Document ได้จาก Gmail ด้วย Keyboard Shortcuts เพียงแต่กด G และ W เท่านั้น



ที่มา: Official Gmail Blog: New in Labs: Turn an email into a Google doc

Tuesday, December 16, 2008

Could You Survive Another Great Depression?- ตรวจความพร้อมในการสู้กับเศรษฐกิจถดถอย

ถ้าอยากรู้ว่าเราจะสามารถฝ่าฟันภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ที่กำลัีงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปได้หรือไม่ ลอง click ไปที่ http://blogthings.com/couldyousurviveanothergreatdepressionquiz/
และตอบคำถามทั้ง 10 ข้อตามความเป็นจริง และรออ่านคำตอบได้เลยครับ



You Are 61% Likely to Survive Another Great Depression




Even though you may not be expecting the worst, you're the type of person who prepares for the worst.

You live a relatively modest life. You don't overspend, and you aren't very materialistic.



You are also quite self sufficient and independent. You have many useful skills.

You can take care of yourself and those you love... which is crucial to surviving another Great Depression.

Monday, December 15, 2008

E Cards แนวขำขันจาก Sendholidaycheer

Pear Tree GreetingsCreate Your OwnOddcast Powered

ปีใหม่นี้ ถ้าต้องการ E Card แนวสนุกๆ สำหรับเพื่อนสนิท เหมือนภาพที่ post ไว้ เราสามารถเปลี่ยนรูปของคนตามที่เห็นในภาพ เป็นภาพของเราหรือภาพของใครก็ได้ที่เราต้องการ  รวมทั้งเปลี่ยนฉากหลังได้อีก 3 แบบ

พวกเราที่สนใจสามารถสร้าง E Cards แนวนี้ได้จาก: http://www.sendholidaycheer.com

Saturday, December 13, 2008

ปี 2008 คือปีที่มี 366 วันกับอีก 1 วินาที - 2008 Will Be A Second Longer

พวกเราทุกคนคงมีความรู้สึกเหมือนๆ กันว่า ปี 2008 ที่กำลังจะผ่านไป ช่างเป็นปีที่ยาวนานมาก และหลายๆ คนก็อยากให้ผ่านปีนี้ไปเสียที ด้วยความหวังว่าปีใหม่จะนำสิ่งดีๆ และความหวังใหม่ๆ มาด้วย

พวกเราเชื่อมั้ยครับว่านอกจากความรู้สึกว่าปีนี้ยาวนานเป็นพิเศษ ความจริงก็คือปีนี้จะเป็นปีที่ยาวกว่าปีอื่นๆ เพราะนอกจากปีนี้จะมี 366 วันแล้ว  เมื่อถึงเวลา 24 นาฬิกาของวันที่ 31 ธันวาคม  จะมีการบวกเวลาอีก 1 วินาทีให้กับปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มปีใหม่  เพื่อให้เวลาของโลกเราเป็นไปอย่างถูกต้อง

โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบจะใช้เวลา 365.2422 วัน ทำให้ทุกๆ 4 ปี ต้องมีการเพิ่มจำนวนวัน 1 วันในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเราเรียกว่า leap year (คำนวนได้โดยการนำปี ค.ศ. หารด้วย 4 ถ้าลงตัวก็ถือเป็นปี leap year ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์จะมี 29 วัน)

ที่พวกเรารู้กันโลกของเราหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24 ชั่วโมง หรือเท่ากัน 1 วัน แต่ความจริงแล้วโลกของเราหมุนรอบตัวเองช้าลงเรื่อยๆ (เป็นเศษเสี้ยวของวินาที) เนื่องจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ทำให้หลายๆ ปี ต้องมีการปรับเวลาให้ตรง เรียกกันว่า leap second  และปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่จะมีการบวกเวลาอีก 1 วินาที ก่อนจะย่างเข้าปีใหม่ 2009

ที่มา: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1093517/Happy-New-Year-Just-wait-second.html?ITO=1490

Friday, December 12, 2008

How To Create Japanese Look - สาธิตวิธี Make Up เปลี่ยนโฉมเป็นสาวสไตล์ญี่ปุ่น

Clip นี้สำหรับสุภาพสตรีที่ต้องการวิธีการ make up แปลงโฉมตนเองเป็นสไตล์สาวญี่ปุ่น ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบขั้นตอน หวังว่าจะถูกใจสาวๆ ทุกคนครับ




Wednesday, December 10, 2008

Negative Calorie Foods: ผักผลไม้ที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก


ร่างกายของเราต้องการอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน ซึ่งนับหน่วยเป็นแคลลอรี่ การรับประทานอาหารในจำนวนที่พอเหมาะ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการได้รับอาหารจำนวนมากไป หรือน้อยไป ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของเราได้ มีผักและผลไม้หลายชนิดที่ต้องใช้จำนวนแคลลอรี่ไปเผาผลาญ มากกว่าจำนวนแคลลอรี่ที่ร่างกายของเราจะได้จากผลไม้นั้น ผลๆไม้เหล่านี้จัดอยู่ในอาหารประเภทที่เราเรียกว่า negative calorie foods ข้อมูลจาก Bootstrapper กล่างถึงผลไม้และผักรวม 15 ชนิดที่ให้ แคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายต้องใช้ แคลอรี่ไปเพื่อทำการย่อยสลายมัน ผักและผลไม้เหล่านี้ัได้แก่
  • Celery (คื่นช่าย)
  • Oranges (ส้ม)
  • Strawberries(สตรอเบอรี่)
  • Tangerines (ส้มจีน)
  • Grapefruit(ผลไม้ตระกูลส้มโอ)
  • Carrots(แครรอท)
  • Apricots (ผลแอปปคิคอท)
  • Lettuce(ผักในตระกูลผักกาด,กะหล่ำ)
  • Tomatoes(มะเ้ขือเทศ)
  • Cucumbers(แตงกวา)
  • Watermelon(แตงโม)
  • Cauliflower(กระหล่ำดอก)
  • Apples (แอปเปิ้ล)
  • Hot Chili Peppers(พริก)
  • Zucchini
การรับประทานอาหารและของว่างที่มีพืชผักเหล่านี้เป็นส่วนประกอบหลัก ก็จะช่วยแก้ปัญหาน้ำหนักเพิ่มได้ แต่ในเวลาเดียวกันการรับประทานแต่ negative calories foods เป็นอาหารหลักโดยงดอาหารอื่นๆ จะทำให้เกิดการขาดอาหารได้
สนใจเรื่อง negative calories foods อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
lister of negative calories foods

Angelina Jolie, Will Smith 2 ดาราหญิงชาย รายได้อันดับหนึ่งของปี 2008

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเมือถึงสิ้นปีก็จะมีการรวบรวบสถิติที่น่าสนใจมานำเสนอให้กับผู้ติดตามข่าวสาร ซึ่งเรื่องที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของวงการบันเทิง Daily Telegraph รายงานว่า   ดาราภาพยนตร์ฝ่ายหญิงที่มีรายได้จากการแสดงมากที่สุดในปีนี้ก็คือ Angelina Jolie โดยเธอคิดค่าแสดงในภาพยนตร์แต่ละเรื่องในราคา $15 ล้านเหรียญ (ประมาณ 500 ล้านบาท) เท่าๆ กับ Julia Roberts (Angelina Jolie แสดงภาพยนตร์ในปีนี้มากกว่า Julia Roberts)  ในขณะที่อันดับที่ 3 ได้แก่ Reese Witherspoon ได้รับค่าเหนื่อยจากการแสดง $14ล้านเหรียญ





ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่าค่าตัวของบรรดาดาราฝ่ายหญิงลดลงมาก ดาราดังอย่าง Nicole Kidman และ Halle Berry ปัจจุบันได้รับค่าแสดงต่อเรื่องไม่ถึง $10 ล้านเหรียญ

ค่าตัวของดาราฝ่ายชายก็ลดลงตามสภาพเศรษฐกิจเช่นกัน เว้นแต่นักแสดงระดับแม่เหล็กไม่กี่คนที่ยังทำรายได้อย่างมหาศาล  นักแสดงชาย ที่ทำรายได้มากเป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ได้แก่ Will Smith ได้รับค่าเหนื่อยเรื่องละ $25ล้านเหรียญ อันดับรองลงมาได้แก่ Johnny Depp และ Brad Pitt ได้รับค่าแสดงเรื่องละ $20 ล้านเหรียญ

รายชื่อข้างล่างก็คือดาราภาพยนตร์หญิงของ Hollywood ที่ได้รับค่าแสดงรวมแล้วมากที่สุดในปีนี้ 8 คน

1 - Angelina Jolie - $15 million per film

2 - Julia Roberts - $15 million per film

3 - Reese Witherspoon - $14 million per film

4 - Cameron Diaz - $10 million per film

5 - Katherine Heigl - $6 million per film and $225,000 per episode of "Grey's Anatomy"

6 - Kate Hudson - $7 million per film

7 - Anne Hathaway - $5 million per film but tipped to be asking as much as $8 million in the near future

8 - Jennifer Aniston - $8 million per film

Tuesday, December 9, 2008

How To Streamline Your Life: จัดระเบียบให้กับการดำเนินชีวิต

การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมสมัยใหม่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พวกเราคงต้องยอมรับว่า แต่ละคนต่างก็ต้องเผชิญกับชีวิตที่วุ่นวายสับสน จากการต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงาน งานที่บ้าน การจัดเวลาให้กับครอบครัว เพื่อน คู่รัก รวมถึงเวลาส่วนตัวสำหรับตนเอง ทำให้เรามักจะได้ยินคำว่า " ยุ่งมาก ไม่มีเวลา" อยู่เป็นประจำ

บทความจาก Dumb Little Man เล่าถึงวิธีที่จะทำให้การใช้ชีวิตให้เป็นไปอย่างลงตัวและไหลลื่น ไม่ฉุกละหุก จนบางครั้งทำให้เสียโอกาสสำคัญไป  พวกเราลองมาอ่านเคล็ดลับเหล่านี้กันครับ เผื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการใช้ชีวิตที่วุ่นวาย จนไม่มีเวลาเหลือให้กับตัวเองบ้างก็ได้



1. Keep a calendar  หมายถึงการบันทึกเวลานัดหมาย และงานสำคัญๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้ลืมหรือไปไม่ตรงเวลาตามที่นัดกับใครไว้

2. Set Goals อย่าปล่อยให้การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดหมายตามแต่บุญกรรมจะพาไป  การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้ว่าจะใช้เวลาและเงินจำนวนเท่าไหร่ ที่จะให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

3. Learn to prioritize  บางครั้งภายในเวลาเดียวกันจะมีตัวเลือกเข้ามาพร้อมๆ กัน การเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญจะช่วยจัดการปัญหานี้ได้  ตัวอย่างเช่น มีผู้ให้บัตร Concert นักร้องคนโปรดที่จะแสดงคืนนี้เป็นรอบสุดท้าย แต่ว่าคืนนี้เราจะต้อง เตรียมเอกสารเพื่อพบลูกค้าสำคัญที่จะพลาดไม่ได้ในวันพรุ่งนี้เช้า แน่นอนว่าเราควรเลือกเตรียมเอกสารสำคัญ เพราะถ้าเลือกไป Concert ผลกระทบที่จะตามมาหากเอกสารมีปัญหา อาจทำความวุ่นวายให้กับชีวิตของเราแบบคาดไม่ถึง

4. Learn to say no  ถ้าเราต้องการชีวิตที่ไม่วุ่นวายสับสน ต้องรู้จักปฏิเสธเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเราก็อาจเจอกับงานสังสรรค์แบบอาทิตย์ละ 7 วัน จนไม่มีเวลาเหลือให้ทำงานอย่างอื่น

5. Delegate  แทนที่เราจะรับงานทั้งหมดไว้คนเดียว ลองสำรวจดูว่ามีอะไรที่สามารถแบ่งให้คนอื่นช่วยได้บ้าง การช่วยกันระหว่างคนในครอบครัว  นอกจากเป็นการลดงานของเราแล้ว ยังเป็นการเพิ่มสัมพันธภาพภายในครอบครับ และเป็นการฝึกความรับผิดชอบให้เด็กๆ ด้วย

6. Set up Systems  สำหรับงานที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำ  การจัดระบบและตารางเวลาการทำงาน และปฏิบัติไปตามนั้นจะทำให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่น

Monday, December 8, 2008

Making Pain worse By Overusing Painkillers - ใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากไป ทำให้ปวดศีรษะเรื้อรั้ง

เชื่อว่าพวกเราทุกคนเคยปวดศีรษะ และทุกครั้งที่เกิดอาการปวดศีรษะก็ต้องนึกถึงยาแก้ปวด แต่จากการศึกษาโดยแพทย์เกียวกับระบบประสาทกลับพบว่า การได้รับยาแก้ปวดมากเกิดไปกลับ จะทำให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายขี้นกว่าเดิม

Dr Giles Elrington  ที่ปรึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทจาก Barts and The London NHS Trust ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ บอกว่าประชาชนส่วนน้อย ที่ตระหนักถึงอันตรายจากการได้รับยาแก้ปวดมากเกินไป


ยาแก้ปวดจะระงับอาการปวดในขณะนั้น แต่บ่อยครั้งกลับเป็นสาเหตุของการกลับมาของการปวดอีก ที่เรียกกันว่า " Rebount Headaches"   Dr. Giles Elrington บอกว่ากว่า 40% ของผู้ป่วย ที่เข้ามารับการรักษาอาการปวดศีรษะเป็นประจำในสถานพยาบาลของเขา เกิดจากการได้รับยาแก้ปวดมากเกินไป และอาการปวดศีรษะหายไปภายหลังการหยุดใช้ยาแก้ปวด ซึ่งรวมถึงยาแก้ปวดที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเช่น  Aspirin และ Paracetamol

Dr. Giles Elrington แนะนำว่าคนปกติทั่วไป ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดศีรษะมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์

ในประเทศอังกฤษมีคนประมาณ 1 ล้านคนที่ปวดศีรษะเป็นประจำ (รวมถึงคนที่เป็นไมเกรนด้วย)

ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทหลายๆ คน เริ่มเชื่อว่าอาการปวดศีรษะบ่อยครั้งเกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดในสมองในชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกถึงอาการปวดศีรษะ ทั้งๆที่ไม่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด  และยาแก้ปวดศีรษะทุกๆ ชนิด สามารถทำให้เกิดการปวดศีรษะแบบเรื้อรังได้

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้ได้รับยาแก้ปวดเป็นประจำ เกิดอาการปวดศีรษะแบบเรื้อรัง แต่คาดว่าฤทธิ์ของยาแก้ปวดมีผลกระทบกับความสามารถของระบบการจัดการกับความเจ็บปวดของร่างกายที่มีอยู่เดิม

ในแต่ละปีคนอังกฤษบริโภคยาแก้ปวดคิดเป็นมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท  และภายในปีเดียว  8 ใน 10 คนในอังกฤษเคยซื้อยาแก้ปวดมาบริโภค

บทความจาก Daily Telegraph ช่วยเตือนให้พวกเราระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวดมากขึ้น เพราะแทนที่จะหายปวดหัวจะกลายเป็นปวดหัวเรื้อรังแทน

Sunday, December 7, 2008

Spot The Difference เกมส์ทดสอบความละเีอียดถี่ถ้วน

เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าเกมส์คอมพิวเตอร์ที่ต้องอาศัยความคิด เช่น Crosswords, Scrabble นอกจากสนุกแล้วยังช่วยพัฒนาสมองไปพร้อมๆ กัน ช่วยลดโอกาส ที่จะเกิดโรคสมองเสื่อมประเภท อัลไซเมอร์ได้

Flash Game ที่นำมาฝากพวกเราวันนี้ เป็นเกมส์ฆ่าเวลาสนุกๆยามว่าง ที่ช่วยฝึกความละเอียดถี่ถ้วนในการสังเกตุ ภายในระยะเวลาจำกัด โดยเราจะต้องหาข้อแตกต่างของภาพสองภาพให้พบภายในเวลาที่กำหนดไว้ เกมส์จะเริ่มจากง่ายและเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ





Spot The Difference II เป็น Flash Game สนุกๆ เล่นเพลินๆ ในยามว่าง ที่ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน พวกเราสามารถทดสอบความเป็นคนช่างสังเกตุกันได้ที่: http://www.novelgames.com/flashgames/game.php?id=193

Saturday, December 6, 2008

Wordpad 2009 - คุณสมบัติใหม่ๆ เพียบ

Wordpad เป็น tex editor ที่มีมากับ Windows ทุกๆ Version จะว่าไปแล้ว Wordpad ก็เปรียบเหมือนกับน้องคนเล็กของ Ms Word นั่นเอง  เวลาทึ่ผมต้องพิมพ์งานก็มักจะใข้ Wordpad เป็นหลัก (ยกเว้นในกรณีที่ต้องการความปราณีต)


Deviantart ได้พัฒนาให้ Wordpad มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นและหน้าตาสวยงามน่าใช้กว่าเดิม (โดยใช้รูปแบบ Icon ของ Windows 7 ) และใช้ชื่อว่า Wordpad 2009

คุณสมบัติที่เพิ่มเติมมาของ Wordpad 2009 ที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

แสดงลักษณะ Font ที่เราต้องการเลือกใช้ในช่องเลือก Font
สามารถ Drag and Drop รูปภาพได้
มี Font ให้เลือกมากมาย
สามารถทำงานเอกสารได้พร้อมๆ กันหลายเอกสารด้วยระบบ Multiple Documents Tabs
รองรับ Files หลายๆ ประเภทเช่น Text, HTML (HTM, HTML, XHTML), CSS, INI, INF,BAT, CMD
มี Themes ให้เลือกได้ 3 แบบ

โปรแกรมนี้มีขนาดเล็กๆ ประมาณ 396 KB เท่านั้น Post ที่พวกเรากำลังอ่านกันอยู่ก็พิมพ์ด้วย Wordpad 2009 ซึ่งก็ใช้ได้ดีไม่มีปัญหาอะไร  พวกเราที่ต้องพิมพ์เอกสารอยู่บ่อยๆ สามารถ download มาทดสอบการใช้งานได้จาก: http://solo-dev.deviantart.com/art/Wordpad-2009-105410281