Friday, March 31, 2017

วัดพระทอง, ศาลเจ้าปุดจ้อ และศาลเจ้าจุ๊ยตุ่ย ภูเก็ต




หลังจาก Check In เข้าพักโรงแรม Proud Phuket  พวกเราก็เริ่มเดินทางทันที แน่นอนว่าเมื่อมี สว. (สูงวัย) ร่วมคณะสิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อความเป็นสิริมงคลก็คือไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์











เริ่มต้นจากวัดพระทองหรือพระผุด วัดเก่าแก่ในอำเภอถลาง  วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งผุดจากพื้นเพียงครึ่งพระองค์  ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของพระพุทธรูปองค์นี้มากมาย   ชาวภูเก็ตทั้งคนพื้นเมืองและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความนับถือพระทองหรือพระผุด (พู่ฮุก) เป็นอย่างมาก โดยมีความเชื่อว่าผู้ที่มีทุกข์โศกเมื่อกราบไหว้ก็สัมฤทธิ์ผลตามที่ปรารถนา วันที่พวกเราไปกราบองค์พระทองไม่ตรงกับเทศกาลและวันหยุดทำให้มีคนไปสักการะค่อนข้างบางตา ข้อดีก็คือมีสมาธิในการสักการะบูชาอย่างเต็มที่


------------------------------------------------------------------------------------------


พวกเราออกจากวัดพระทองประมาณ 11 นาฬิกา ขับรถตรงเข้าเมืองภูเก็ตเพื่อสักการะศาลเจ้าปุดจ้อหรือศาลเจ้าแม่กวนอิมซึ่งตั้งอยู่บนถนนระนองใจกลางเมืองภูเก็ต  ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี (คำว่า 'ปุดจ้อ' หมายถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่เป็นภาษาฮกเกี้ยนซึ่งเป็นภาษาของชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่ภูเก็ตจำนวนมาก) ซึี่งชาวภูเก็ตนับถือเลื่อมใสและนิยมกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลเป็นประจำ




หลังจากสักการะเจ้าแม่กวนอิมในศาลเจ้าปุดจ้อ พวกเราใช้ทางเชื่อมต่อด้านหลังไปยังศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้งซึ่งเป็นศาลเจ้าที่ชาวภูเก็ตมาร่วมพิธีถือศีลกินผักในเทศกาลกินเจ







เสร็จสิ้นการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวันแรกที่มาภูเก็ตเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ประมาณเที่ยงเศษๆ อากาศที่ภูเก็ตค่อนข้างร้อนอบอ้าวและแดดจัดมาก ได้เวลาเติมพลังเพื่อการเดินทางในช่วงบ่าย พรุ่งนี้มาติดตามอาหารมื้อแรกที่ภูเก็ตของผมครับ



Thursday, March 30, 2017

วันแรกที่ภูเก็ต - ไข่มุกแห่งอันดามัน



การเดินทางไปภูเก็ตครั้งนี้ ผมใช้บริการ Air Asia กำหนดออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 7 นาฬิกาเศษๆ แต่กว่าจะได้บินจริงก็เลย 8 นาฬิกาและถึงภูเก็ตประมาณ 9.35 นาฬิกา  ตลอดการเที่ยวพวกเรา (ผมและญาติ) ใช้บริการเช่ารถจาก Budget และมี Google Map เป็นแผนที่นำทางซึ่งประสิทธิภาพดีมากเพราะตลอดการเดินทางของผู้ที่มาภูเก็ตครั้งแรกไม่ต้องสอบถามเส้นทางเพิ่มเติมจากชาวบ้านแม้แต่ครั้งเดียว





โรงแรมที่พวกเราพักก็คือ Proud Phuket Hotel เป็นโรงแรมขนาดเล็กๆ กึ่ง Resort ใกล้ๆหาดในยางและห่างจากสนามบินภูเก็ตแค่ขับรถประมาณ 5 นาทีเท่านั้น



ภาพที่นำมาฝากพวกเราวันนี้เป็นบรรยากาศภายในโรงแรมซึ่งเงียบสงบถึงแม้จะมีแขกพักเต็มปริมาณก็ตาม  พรุ่งนี้ผมจะเริ่ม Post เรื่องเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวมาให้อ่านกันครับ








Monday, March 27, 2017

ออกกำลังกายตอนท้องว่างหรือหลังรับประทานอาหาร วิธีใดลดน้ำหนักได้ผลกว่า?


 Image Credit: Abigail Keenan

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการออกกำลังกายขณะท้องว่างช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าเพราะสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่า  แต่จากผลการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมีประโยชน์กว่า



เมื่อจะออกกำลังกาย หลายๆ คนมักตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรรับประทานอาหารก่อนหรือหลังการออกกำลังกาย  นักโภชนาการและนักวิทยาศาสตร์มีทั้งฝ่ายสนับสนุนให้ออกกำลังกายก่อนอาหารและฝ่ายสนับสนุนให้ออกกำลังหลังมื้ออาหารผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง

ผลการศึกษาโดย   British Journal of Nutrition พบว่าผู้ออกกำลังกายขณะท้องว่างสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าผู้ออกกำลังกายที่รับประทานอาหารแล้วประมาณ 20%  นอกจากนี้ผลการศีกษาโดย  International Journal of Sports Nutrition and Exercise Metabolism พบว่าผู้ออกกำลังกายแบบ Aerobic Training ก่อนรับประทานอาหารจะลดปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกายได้มากกว่าผู้ออกกำลังกายที่รับประทานอาหารก่อนหน้านี้ เนื่องจากการออกกำลังก่อนรับประทานอาหาร ร่างกายต้องดึงไขมันส่วนเกินมาใช้ในจำนวนที่มากกว่าคนที่รับประทานอาหารมาแล้วซึ่งจะมีพลังงานสำรองอยู่

ข้อดีของการออกกำลังกายขณะท้องว่างอีกอย่างหนึ่งก็คือทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกเบาตัว กระฉับกระเฉงขึ้น

อย่างไรก็ตาม Dr Kelly Pritchett, Ph.D., R.D. - ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการอธิบายว่าร่างกายของมนุษย์มีระบบสะสมไขมันตามธรรมชาติ เมื่อมีการเผาผลาญไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะปรับระบบเผาผลาญเข้าสู่ภาวะ Survival Mode เพื่อสร้างไขมันสะสมโดยอัตโนมัติในมื้อต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาโดย American Journal of Clinical Nutrition ที่พบว่าวิธีอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เมื่อทำอย่างต่อเนื่องไประยะเวลาหนึ่งระบบ Metabolism จะลดระดับการเผาผลาญลงจนทำให้การอดอาหารไม่ได้ผลอีกต่อไป

ผลการศึกษาจาก Journal Appetite พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายจะมีความหิวน้อยกว่าผู้ที่ออกกำลังกายก่อนรับประทานอาหารที่จะมีความรู้สึกหิวและรับประทานอาหารมากกว่าปกติ (ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น)  นอกจากนี้การออกกำลังกายขณะท้องว่างที่ใช้พลังงานจำนวนมากเกินไปยังอาจทำให้ร่างกายต้องดึงโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ในกรณีที่ไขมันที่สะสมอยู่ไม่เพียงพอ

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารแล้วก็คือผู้ออกกำลังกายรู้สึกมีความสุขและสดชื่นขึ้น ผู้สนับสนุนให้รับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดร็ตก่อนออกกำลังประมาณหนึ่งชั่วโมงและรับประทานอาหารที่เน้นโปรตีนในมื้อต่อไปหลังออกกำลังกายแล้ว

โดยสรุปทั้งหมดขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคลมากกว่า เพราะน้ำหนักตัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวแต่ยังขึ้นอยู่กับการควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคในแต่ละวันไม่ให้มากเกินกำหนด

ที่มา: Lifehacker



อาหารประเภทใดบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับสุนัข


 Image Credit: Josh Kwok


สุนัขเป็นสัตว์ที่มนุษย์นำมาฝึกและเลี้ยงมานานหลายพันปี ทำให้มันปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งอาหารที่สุนัขกินอาหารเกือบทุกอย่างที่เจ้านายของมันกิน แต่ในความเป็นจริงมีอาหารหลายๆ ประเภทที่ไม่เหมาะกับสุนัขและอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของพวกมัน

ติดตามรายละเอียดว่า อาหารประเภทใดบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับสุนัข ครับ


Saturday, March 18, 2017

สูตรหุงข้าวซูชิ (Sushi Rice) จากเชฟญี่ปุ่น




ส่วนสำคัญที่สุดของซูชิอาหารญี่ปุ่นยอดนิยม ก็คือข้าวซูชิ  สูตรหุงข้าวซูชิ (Sushi Rice)  ที่นำมาฝากพวกเราวันนี้ มาจากเชฟญี่ปุ่น Taichi Kitamura  - Executive Chef จากภัตตาคาร Sushi Kappo Tamura ที่ Seattle, สหรัฐอเมริกา  ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น Best Sushi Restaurants ในสหรัฐอเมริกาโดย  เว็บไซต์ Travel + Leisure

รายละเอียดขั้นตอนการการปรุงอ่านจากด้านล่างพร้อม Clip สาธิตครับ


Thursday, March 16, 2017

แพทย์มหาวิทยาลัย Harvard แนะนำวิธีหยุดเลือดกำเดาแบบง่ายๆ



เลือดกำเดาไหล (Nosebleeds หรือ epistaxis) คืออาการเลือดไหลจากรูจมูก (ข้างเดียวหรือสองข้าง) เนื่องจากเส้นโลหิตในโพรงจมูกแตก Dr. Mary Pickett จากมหาวิทยาลัย Harvard แนะนำวิธีหยุดเลือดกำเดาแบบง่ายๆ


อาการเลือดกำเดาไหล ที่พบโดยทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดจากความผิดปกติภายในจมูกและบ่งบอกถึงโรคร้ายบางชนิดได้เช่นกัน

ปกติเลือดกำเดาที่ไหลไม่มากสามารถหยุดได้เองเมื่อผ่านไปประมาณ 10 ถึง 15 นาที แต่ในบางครั้งหรือในบางคนเลือดกำเดาไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ  Dr. Mary Pickett จาก Harvard Medical School, มหาวิทยาลัย Harvard แนะนำวิธีหยุดเลือดกำเดาด้วยตนเองดังนี้

  1. เอียงศีรษะมาด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนลงในคอ
  2. ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับที่สันจมูกทั้ง 2 ด้าน
  3. ค่อยๆ เลื่อนนิ้วทั้ง 2 ลงมาจนถึงบริเวณรอยต่อระหว่างกระดูกสันจมูกกับกระดูกอ่อนของจมูก (ตามภาพ ซึ่งสาธิตโดย Dr. Howard LeWine จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน )
  4. ใช้นิ้วทั้ง 2 บีบจมูกให้แน่น โดยให้นิ้วทั้งคู่สามารถปิดรูจมูกได้หมด
  5. บีบไว้นานประมาณ 5 นาทีระหว่างนี้ให้หายใจทางปาก จากนั้นอาจทำซ้ำอีกหนึ่งครั้งถ้าจำเป็น
 Dr. Mary Pickett เปิดเผยว่าการหยุดเลือดกำเดาวิธีนี้ได้ผลประมาณ 94%  ถ้าบีบได้ถูกบริเวณ  นอกจากนี้วิธีซึ่งใช้กันมานาน ด้วยการใช้ผ้าก๊อสที่สะอาดอุดรูจมูกก็ได้ผลเช่นกันแต่อาจใช้เวลานานกว่า  แต่ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็หมดขั้นตอนดูแลตนเองเบื้องต้นและพบแพทย์เพื่อทำการรักษา

ผู้ที่ต้องการชม Video สาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าควรบีบจมูกบริเวณใด ชมได้ที่ Harvard Medical School Blog




Sunday, March 12, 2017

วิธีทำ Pie Apple Roses



Apple Pie เป็นของว่าง (หวาน) ยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง  Clip ที่นำมาฝากพวกเราวันนี้เป็น Apple Pie อีกรูปแบบหนึ่ง คือ Pie Apple Rose ซึ่งเราจะได้ทาน Apple อย่างเต็มปากเต็มคำ และยังดูสวยงามกว่า 




 ชม Clip ครับ 



Saturday, March 11, 2017

สระว่ายน้ำมีปัสสาวะปนเปื้อนหรือไม่ และมีผลต่อสุขภาพอย่างไร?


 Image Credit: “Swimming Pool”by Travis Wiseis licensed under CC BY 2.0

พวกเราที่นิยมว่ายน้ำในสระเคยสงสัยมั้ยว่าในน้ำจะมีปัสสาวะปนเปื้อนหรือไม่  หายสงสัยได้เลยเพราะคำตอบคือมี  ถึงจะเป็นผลสำรวจที่สหรัฐฯ แต่เชื่อได้ว่าผลสำรวจในพื้นที่อื่นๆ ก็ไม่น่าจะต่างกัน


Journal of the American Chemical Society เผยผลสำรวจการปนเปื้อนของปัสสาวะในสระว่ายน้ำโดยการเก็บตัวอย่างน้ำจากสระขนาดใหญ่ 31 แห่งจำนวน 250 ตัวอย่าง จากนั้นคำนวณปริมาณปนเปื้อนของปัสสาวะด้วยการวัดปริมาณสารให้ความหวานชนิดหนึ่งซึ่งนิยมใช้กันมากในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่สหรัฐฯ (คุณสมบัติของสารให้ความหวานชนิดนี้คือจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ) จากน้ำในสระ  c]tพบว่ามีปัสสาวะปนอยู่ในระดับใกล้เคียงกันประมาณ 20 แกลลอน ต่อปริมาณน้ำในสระซึ่งมีอยู่ประมาณ 220,000 แกลลอน

การปนเปื้อนนี้ถือว่าน้อยถ้าเทียบกับผลสำรวจการปนเปื้อนในอ่างอาบน้ำรวมเช่น อ่าง Jacuzzi ซึ่งพบปริมาณมากกว่าถึงประมาณ 3 เท่า และเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอ่างอาบน้ำอุ่น!

คำถามที่หลายคนสงสัยคือคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคที่ปนอยู่ในปัสสาวะได้หรือไม่  คำตอบคือเชื้อโรคอาจถูกทำลายได้หมดแต่พบว่าสารประกอบในปัสสาวะเช่น urea, ammonia, และ creatinine สามารถทำปฏิกิริยากับคลอรีน ทำให้เกิด DBPs (Disinfection by-products) ซึ่งส่งผลระคายเคืองต่อดวงตา (ทำให้เกิดอาการแสบตาเคืองตา) และระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งในระยะยาวพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับอาการโรคหอบหืดที่เกิดกับนักว่ายน้ำอาชีพและคนทำงานเกี่ยวข้องกับสระว่ายน้ำ

นักวิทยาศาสตร์ที่สหรัฐฯ กำลังพัฒนาแผ่นวัดสารให้ความหวานเพื่อใช้วัดระดับปนเปื้อนของปัสสาวะในน้ำ เพื่อให้สระว่ายน้ำสามารถนำไปใช้เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำและเพื่อสุขอนามัยของผู้ชอบว่ายน้ำในสระ


ที่มา: Lifehacker

Monday, March 6, 2017

ชั้นวางของลอย (Floating Shelf) แบบ DIY



ชั้นวางของลอย (Floating Shelf)  ช่วยแก้ปัญหาห้องขนาดเล็กที่พื้นที่เก็บของใช้ไม่เพียงพอ และอาจใช้เป็นที่วางเครื่องตกแต่งให้ห้องดูดีขึ้น  ชั้นวางของสวยๆ ในภาพ ทำได้เองครับถ้ามีฝีมือด้านช่างอยู่บ้าง ชมวิธีทำ ชั้นวางของลอย (Floating Shelf) แบบ DIY อย่างละเอียดจาก Clip ครับ


Thursday, March 2, 2017

ผักผลไม้ประเภทใดช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคหัวใจ


 Image Credit: “glass fruits and vegetables”by Art Poskanzeris licensed under CC BY 2.0


ผลการศึกษาโดย Imperial College London พบว่าการบริโภค ผักผลไม้ช่วยให้มีอายุยืนขึ้นและลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจ rพร้อมทั้งแนะนำ ชนิดผักผลไม้ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคหัวใจ



ทีมนักวิจัยจาก Imperial College London  เปิดเผยว่าการบริโภคผักผลไม้จำนวนเล็กน้อยก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ถ้าต้องการลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร, ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง, และโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรบริโภคในปริมาณมากขึ้น

ข้อมูลจากการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของชาวอังกฤษประมาณ 2 ล้านคน โดย 95 ทีมนักวิจัย พบว่า

ผักผลไม้ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งประกอบด้วย
  • ผักใบเขียวเช่น ผักโขม ฯลฯ
  • ผักสีเหลืองเช่น พริกหวาน ฯลฯ
  • ผักตระกูลกะหล่ำ เช่นกะหล่ำปลี, คะน้า ฯลฯ (eg cauliflower).

ผักผลไม้ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองแตก ประกอบด้วย
  • แอปเปิ้ล
  • ลูกแพร์
  • ผลไม้ตระกูล Citrus
  • ผักใบเขียว เช่นผักกาดหอม
  • ผักตระกูลกะหล่ำ



ผลการศึกษายังพบว่าปริมาณผักผลไม้ที่บริโภคในแต่ละวัน ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคมะเร็ง และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยพบว่า
  • การบริโภคผักผลไม้วันละ 200 กรัมช่วยลดความเสียงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณ 13% และเมื่อบริโภควันละ 800 กรัมจะลดความเสี่ยงได้ประมาณ 28%
  • การบริโภคผักผลไม้วันละ 200 กรัมช่วยลดความเสียงจากโรคมะเร็ง 4% และช่วยลดความเสี่ยง 13% ถ้าบริโภควันละ 800 กรัม
  • การบริโภคผักผลไม้วันละ 200 กรัมช่วยลดความเสียงจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 15% และถ้าบริโภควันละ 800 กรัมช่วยลดความเสี่ยงได้ถึง 31%

ที่มา:  BBC