Tuesday, July 25, 2017

9 วิธี สามารถป้องกันอาการสมองเสื่อม (Dementia) ได้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์


 Image Credits: dierk schaefer


เผย 9 วิธี สามารถป้องกันอาการสมองเสื่อม (Dementia) ได้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ จากรายงานซึ่งนำเสนอในงานประชุม Alzheimer's Association International Conference ที่กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร


ศาสตราจารย์ Gill Livingston จาก University College London ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยอาการสมองเสื่อมหรือ Dementia ฉบับนี้ เปิดเผยว่า อาการสมองเสื่อมซึ่งมักแสดงอาการเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ มีพัฒนาการก่อนหน้านั้นหลายปี

รายงานซึ่งนำเสนอต่อ Alzheimer's Association International Conference รวบรวมผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสมองจาก 24 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า Lifestyle หรือ วิธีการใช้ชีวิตมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มหรือลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม  และสามารถสรุปเป็น 9 สาเหตุสำคัญซึ่งมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการสมองเสื่อมดังนี้

  1. ความเสื่อมในการได้ยินในวัยกลางคน เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 9%
  2. การศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษา เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 8%
  3. การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 5%
  4. โรคซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 4%
  5. ขาดการออกกำลังกาย เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 3%
  6. อยู่โดดเดี่ยวจากสังคม ขาดเพื่อน, ครอบครัวและญาติ เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 2%
  7. โรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 2%
  8. โรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 1%
  9. โรคเบาหวาน ชนิด Type 2 diabetes เพิ่มความเสี่ยงประมาณ 1%

9 สาเหตุคิดเป็น 35% ที่เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการโรคสมองเสื่อมเมื่อเข้าวัยสูงอายุ  ซึ่งถ้ามีการปรับปรุง Lifestyle ทั้ง 9 วิธีป้องกันอาการสมองเสื่อม (Dementia) ได้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์

ศาสตราจารย์ Gill Livingston  อธิบายว่าความเสี่ยงต่ออาการสมองเสื่อมสามารถป้องกันด้วยตนเองได้ถึง 35 % โดยป้องกันความเสี่ยงข้างต้น คือ พบแพทย์ทันทีถ้ามีพบว่ามีปัญหาในการได้ยินเสียง, หมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเป็นประจำ, งดสูบบุหรี่, พบแพทย์เมื่อมีปัญหาความเครียดต่อเนื่องเป็นเวลานาน, ออกกำลังกายเป็นประจำ, พบปะครอบครัวญาติมิตรเพื่อนฝูงเป็นประจำ, ดูแลสุขภาพให้ปลอดจากโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ทั้งหมดดูเหมือนการลงทุนระยะยาวเห็นผลเมื่อย่างเข้าสู่วัยสูงอายุ แต่ความจริงแล้วการปฏิบัติส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตทันที ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด และโรคมะเร็ง

นักวิจัยเชื่อว่าอาหารและแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยสำคัญต่ออาการสมองเสื่อมเช่นกัน แต่ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ


ที่มา: BBC



Sunday, July 23, 2017

การเกาเนื้อเกาตัวของสุนัข อาจหมายถึงโรคซึมเศร้าของสุนัข


  Image Credit: Josh Kwok

พวกเราที่เลี้ยงสุนัขจะพบว่าน้องหมาของเราบางครั้งจะเกาเนื้อเกาตัวเกาหูอย่างสบายอารมณ์ แต่สัตว์แพทย์อังกฤษพบว่าถ้าสุนัขทำเป็นประจำอาจบอกถึงอาการโรคซึมเศร้าของสุนัข


Saturday, July 22, 2017

6 ขั้นตอน สอนเรื่องการเงินให้เด็ก



เด็กโดยทั่วไปเรียนรู้คณิตศาสตร์พร้อมๆ กับพัฒนาการด้านอื่น การสอนให้เด็กเข้าใจเรื่องเงินทองจะช่วยให้เมื่อโตขึ้นสามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ   Lifehacker แนะนำ 6 ขั้นตอนสอนแนวคิดเรื่องการเงินให้เด็ก


Tuesday, July 18, 2017

แพทย์อังกฤษพบ Contact Lens 27 ชิ้นในตาหญิงชราที่มาตรวจอาการต้อกระจก


 Image Credit: British Medical Journal (BMJ) Via BBC

แพทย์โรงพยาบาล Solihull hospital ในWest Midlands ประเทศอังกฤษ พบ Contact Lens 27 ชิ้นในตาหญิงชรา วัย 67 ปี ที่มาตรวจอาการและผ่าตัดต้อกระจก


รายงานจาก British Medical Journal (BMJ) ระบุว่า ระหว่างที่ศัลยแพทย์โรงพยาบาล Solihull hospital ใน West Midlands ประเทศอังกฤษ ตรวจอาการของหญิงชราวัย 67 ปีซึ่งมีอาการตามัวและมาติดต่อเพื่อทำการผ่าต้อกระจก สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมสีฟ้าอ่อนๆ อยู่ในดวงตาข้างหนึ่ง และพบว่าเป็น Contact Lens จำนวน 17 ชิ้นจับตัวเป็นก้อนด้วยเมือกซึ่งดวงตาขับออกมา และเมื่อทำการตรวจอย่างละเอียดก็พบ Contact Lens อีก 10 ชิ้นในดวงตาข้างเดียวกัน

รายงานยังระบุว่าหญิงผู้นี้ใช้ Contact Lens แบบใส่แล้วทิ้งติดต่อกันมา 35 ปี สาเหตุที่น่าจะทำให้เกิดปัญหานี้น่าจะเป็นเพราะคนที่ตาค่อนข้างลึก ประกอบกับตาข้างขวาของหญิงผู้นี้อยู่ในภาพใกล้มองไม่เห็นทำให้ไม่รู้ว่า Contact Lens ยังค้างอยู่ในดวงตา

ที่น่าแปลกใจก็คือหญิงชราผู้นี้ไม่รู้ และไม่รู้สึกระคายเคืองมากมาย ทั้งที่โดยปกติ Contact Lens ที่ค้างอยู่ในดวงตาแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้ระคายเคืองแทบทนไม่ได้

แน่นอนว่าหญิงชราผู้นี้แทบ Shock เมื่อเห็น Contact Lens ที่เอาออกจากดวงตา เธอบอกว่ารู้สึกระคายเคืองบ้างแต่คิดว่าเกิดขึ้นเพราะวัยชราและอาการตาแห้ง



ที่มา: BBC



Monday, July 17, 2017

ชายหญิงต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าใดต่อวัน? เท่ากันหรือไม่?




สูตรมาตรฐานที่ทุกคนจำได้คือดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว อย่างไรก็ตามจำนวนการดื่มน้ำยังขึ้นอยู่กับสุขภาพ, การใช้ชีวิต ฯลฯ The Institute of Medicine, สหรัฐอเมริกา พบว่าชายและหญิงต้องการน้ำไม่เท่ากัน ชายหญิงต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าใดต่อวัน?


น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ของสิ่งมีชีวิต ร่างกายของมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 60%  การทำงานของทุกระบบในร่างกายขึ้นอยู่กับน้ำทั้งสิ้น เช่น การขับของเสียออกจากอวัยวะ, การนำแร่ธาตุและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซล เป็นต้น

ในแต่ละวันร่างกายสูญเสียน้ำผ่านการหายใจ, เหงื่อ, ปัสสาวะ, อุจจาระ ฯลฯ ทำให้ร่างกายของเราต้องได้รับน้ำเพื่อทดแทนส่วนที่สูญเสียไป ภาวะขาดน้ำทำให้การทำงานของอวัยวะในร่างกายไม่สมบูรณ์และอาจทำอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายของเรา

The Institute of Medicine, สหรัฐอเมริกา แนะนำว่า จำนวนบริโภคน้ำ (Adequate Intake) สำหรับเพศชายทั่วไปคือวันละ 13 แก้ว หรือประมาณ 3 ลิตร ในขณะที่เพศหญิงทั่วไปคำแนะนำใกล้เคียงกับสูตรมาตรฐานวันละ 8 แก้วโดย The Institute of Medicine แนะนำให้บริโภคน้ำวันละ 9 แก้วหรือประมาณ 2.2 ลิตร

The Institute of Medicine บอกว่าการบริโภคน้ำไม่ได้หมายถึงน้ำเปล่าเท่านั้น แต่รวมถึงของเหลวทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำชา, กาแฟ, น้ำที่อยู่ในพืชผักผลและอาหารที่เรารับประทาน  โดยปกติคนทั่วไปจะได้รับน้ำจากอาหารและพืชผักผลไม้ประมาณ 20% ในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามน้ำเปล่าบริสุทธิ์ยังเป็นส่วนสำคัญที่สุดเนื่องจากไม่มีสารเจือปน, ปลอด Calorie และที่สำคัญคือราคาถูกกว่าและหาได้ง่ายกว่า


ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนน้ำที่ต้องบริโภค

  1. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำผ่านเหงื่อ ร่างกายควรได้รับน้ำเพิ่มประมาณ 1.5 ถึง 2.5 แก้ว (0.4 ถึง 0.6 ลิตร) ต่อการออกกำลังระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเป็นการออกกำลังกายที่ใช้เวลานานเกิน 1 ชั่วโมงร่างกายจำเป็นต้องได้รับน้ำมากกว่านี้ โดยขึ้นอยู่กับจำนวนน้ำที่สูญเสียผ่านเหงื่อ, ระยะเวลา, และชนิดของการออกกำลังกาย 
  2. ระหว่างการออกกำลังกายที่สูญเสียเหงื่อจำนวนมาก ร่างกายควรได้รับน้ำซึ่งมีส่วนประกอบของเกลือแร่ (Sport Drink) 
  3. สภาวะแวดล้อม อากาศร้อนและความชื้นสูงทำให้สูญเสียเหงื่อมากกว่าปกติ, ระดับความสูงกว่า 8,200 ฟุตหรือ 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาจทำให้การหายใจเร็วขึ้น, ปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้นเช่นกัน
  4. สุขภาพและโรคบางชนิด ภาวะไข้สูง, อาเจียร, ท้องเสีย ฯลฯ ล้วนทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ และต้องการน้ำมากขึ้นกว่าสภาวะปกติ แต่ในโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจบางชนิด, โรคไตบางชนิด  ฯลฯ อาจทำให้ปริมาณน้ำถูกขับออกจากร่างกายน้อยกว่าปกติ ทำให้ต้องการน้ำน้อยลง
  5. การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร  หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอดที่ให้นมบุตรต้องการน้ำมากกว่าปกติ และควรปรึกษาแพทย์ถึงจำนวนน้ำที่ควรบริโภคในแต่ละวัน


การป้องกันภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

  1. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ถึงจำนวนน้ำที่ต้องบริโภคในแต่ละวัน
  2. สังเกตสีปัสสาวะ  ปัสสาวะของคนทั่วไปควรใสและสีเหลืองอ่อน
  3. ดื่มน้ำ 1 แก้วทุกมื้ออาหาร (อาจเป็นเครื่องดื่ม ปลอดหรือ Calorie ต่ำ)
  4. ดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย
  5. ดื่มน้ำก่อน, ระหว่าง และ หลัง การออกกำลังกาย

ดื่มน้ำมากเกินไป พบบ้างในนักวิ่งมาราธอนซึ่งสูญเสียเหงื่อจำนวนมากระหว่างการวิ่งระยะไกลเป็นเวลานาน ทำให้มีการบริโภคน้ำมากเกินไป จนปริมาณเกลือแร่ในกระแสเลือดเจือจาง  เกิดภาวะ Hyponatremia อาการมีตั้งแต่ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ ไปจนถึงขั้นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต การดื่มน้ำมากเกินไปพบไม่บ่อยในคนทั่วไป


ที่มา: Mayo Clinic





Sunday, July 16, 2017

อายุผักผลไม้เนื้อสัตว์เมื่อเก็บแต่ละวิธี - The Shelf Life of Food


 Image Credit: Correen


ผักผลไม้และเนื้อสัตว์ มีอายุในการเก็บรักษาไม่เท่ากัน ผักผลไม้บางชนิดไม่เหมาะที่จะ Freeze ในขณะที่บางชนิดก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ในอุณหภูมิห้อง  Chart ที่นำมาฝากพวกเราวันนี้ แนะนำวิธีเก็บรักษาผักผลไม้เนื้อสัตว์ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไรเมื่อเก็บรักษาแต่ละวิธี  รวมถึงจำนวนวันซึ่งเราสามารถเก็บอาหารสำเร็จที่กินเหลือหลายๆ ชนิดในตู้เย็น

ติดตาม The Shelf Life of Food ด้านล่างครับ


Tuesday, July 11, 2017

เคล็ดลับกำจัดกลิ่นอาหารไม่พึงประสงค์ด้วยของในครัว


 Image Credit:John Salzarulo


กลิ่นที่เกิดจากการปรุงอาหารบางอย่าง เช่นการทอดปลา ไม่จางหายไปง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านหรือห้องพักที่มีพื้นที่จำกัด  ปกติการใช้น้ำหอมปรับอากาศก็แก้ปัญหาได้แล้ว แต่ยังมีวิธีทำให้ห้องครัวมีกลิ่นหอมด้วยเครื่องปรุงที่อยู่ในครัวได้ง่ายๆ ครับ


Monday, July 10, 2017

องค์การอนามัยโลกเตือน Oral Sex เพิ่มการแพร่เชื้อ Super Gonorrhoea




World Health Organization หรือ องค์การอนามัยโลกเตือน Oral Sex เพิ่มการแพร่เชื้อ Super Gonorrhoea  หรือเชื้อโรคหนองในที่ดื้อต่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหนองในประมาณ 78 ล้านคน โดยความกังวลต่อการติดเชื้อ HIV ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรค AIDS ลดลง (ทั้งที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาด) ทำให้จำนวนการใช้ถุงยางอนามัยลดลงไปด้วยมีส่วนให้การแพร่ขยายของโรคหนองในเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกทีได้จาก 77 ประเทศพบว่ามีการแพร่ในวงกว้างของเชื้อโรคหนองในที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีิวนะ

Dr Teodora Wi จากองค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า เชื้อหนองในหรือ Gonorrhoea เป็นเชื้อโรคที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ทุกครั้งที่มีการใช้ยาปฏิชีวินะชนิดใหม่เพื่อการรักษาหลังจากนั้นไม่นาน Gonorrhoea ก็สามารถปรับตัวและดื้อยา

สาเหตุที่ Oral Sex เพิ่มการแพร่เชื้อ Super Gonorrhoea เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยด้วยโรคหนองในที่ลำคอเกิดอาการเจ็บคอธรรมดาและได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีีนะจากแพทย์ เชื้อ Gonorrhoea ที่อยู่ในลำคอจะพัฒนาตัวเองให้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะนั้น และพัฒนาตัวเองไปเป็น Super Gonorrhoea ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะเกือบทุกชนิด

Dr Teodora Wi ยังเปิดเผยว่าพบผู้ป่วยโรคหนองใน 3 รายในประเทศญี่ปุ่น, สเปน และฝรั่งเศส ที่ไม่สามารถรักษาให้หายด้วยยาปฏิชีวนะทุกชนิดที่มีอยู่ในโลก

องค์การอนามัยโลกเตือนให้ทุกประเทศเฝ้าระวังการแพร่ของ เชื้อ Super Gonorrhoea  หรือเชื้อโรคหนองในที่ดื้อต่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และกระตุ้นให้เร่งพัฒนายาชนิดใหม่ๆ  โดย Dr Manica Balasegaram จาก Global Antibiotic Research and Development Partnership บอกว่าปัจจุบันมียาที่กำลังพัฒนาใหม่เพียง 3 ชนิดเพื่อรักษาโรคหนองในที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ และกังวลว่าจะไม่ทันต่อการปรับตัวของเชื้อ Gonorrhoea

ที่น่าเป็นกังวลยิ่งกว่านั้นก็คือจำนวนผู้ติดเชื้อโรคหนองในในประเทศยากจนมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้การตรวจพบและหยุดการแพร่ของเชื้อโรคหนองในที่ดื้อต่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะยากยิ่งขึ้น

ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหนองในหรือ  Gonorrhoea
  • โรคหนองในเกิดจากแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea
  • โรคหนองในเกิดได้กับอวัยวะสืบพันธ์, ในช่องปาก, และทวารหนัก ถ้าไม่ได้ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย
  • อาการที่พบในผู้ป้วยโรคหนองใน เช่น มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลจากอวัยวะที่ติดเชื้อ, อาการปวดระหว่างปัสสาวะ, มีเลือดออก เป็นต้น
  • อย่างไรก็ตาม ประมาณ 10% ของผู้ป่วยเพศชายไม่มีอาการเด่นชัด ในขณะที่ประมาณ 75% ของเพศหญิงไม่มีอาการเด่นชัด
  • ผู้ป่วยที่ไม่ได้รักษาทันเวลาอาจเป็นหมันและอาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงในช่องท้อง

ที่มา: BBC