Tuesday, July 31, 2012

Body Language - ภาษากายเปิดเผยความรู้สึกในใจอย่างไร

การแสดงออกทางใบหน้าหรือท่าทาง ที่เราเรียกว่าภาษากาย (Body Language) สามารถบ่งบอกว่าคนที่เรากำลังพูดคุยอยู่ด้วยมีความรู้สึกอย่างไรถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ  Website Wonder Howto นำเสนอ inforgraphic เปิดเผยวิธีการสังเกตุภาษากายที่คนเรามักแสดงออกไว้ดังนี้

การแสดงออกทางใบหน้า
  • คนที่พยายามหลบไม่ยอมสบตา อาจหมายความถึงการซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจ
  • คนที่พยายามสบตาด้วย อาจหมายถึงความพยายามจะสื่อสารถึงบางสิ่งบางอย่างกับเรา
  • คนที่กำลังทบทวนเรื่องราวในอดึต ตามักจะมองมองขึ้ันด้านบน
  • คนที่กำลังแต่งเรื่อง ตามักจะมองลงด้านล่าง
  • คนที่ยิ้มทั้งปากและตาแสดงความจริงใจ ส่วนคนที่ยิ้มเฉพาะปากแต่ตาไม่มีความรู้สึกอาจแปลว่าไม่ได้จริงใจยิ้มให้
  • การเม้มปากและขมวดคิ้วอาจหมายถึงไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบ

 การแสดงออกทางร่างกาย
  • คนที่โน้มตัวมาด้านหน้าระหว่างสนทนา สื่อความถึงความกระตือรือร้นและกำลังสนใจในเรื่องที่กำลังสนทนา
  • คนที่แบมือสองข้างออกจากกันระหว่างการสนทนา สื่อถึงความเปิดเผย
  • คนที่เอาสองมือล้วงกระเป๋าระหว่างการสนทนา สื่อถึงความต้องการจะรักษาระยะห่าง
  • คนที่วางเท้าสองข้างพุ่งตรงไปด้านหน้า อาจหมายถึงต้องการจะยุติพูดคุยและไปจากสถานที่
  • คนที่ก้มมองนาฬิกาบ่อย ๆ มองไปที่ทางออกหรือมองไปรอบๆ ตลอดเวลา โดยไม่มองหน้าคู่สนทนา  อาจหมายถึงไม่สนใจเรื่องที่คุยกันอยู่
  • คนที่ทำกิริยาเดิมๆ ซ้ำระหว่างการสนทนา เช่นดีดนิ้ว เคาะโต๊ะ ขยับเท้า อาจหมายถึงความเบื่อ
  • คนที่ออกอาการหาว บิดขี้เกียจระหว่างการสนทนา ก็หมายถึงความเบื่อหน่ายเช่นกัน

วิธีใช้ภาษากายให้เป็นประโยชน์
  • พยายามสบตากับคู่สนทนาเพื่อแสดงถึงความกระตือรือร้นและสนใจ แต่อย่าจ้องมองนานจนเกินงาม
  • ไม่ยืนประจันหน้ากับคู่สนทนาแต่ให้ยืนในมุมประมาณ 45 องศา เพื่อลดความรู้สึกถูกคุกคาม
  • เลียนแบบท่านั่งหรือการวางมือของคู่สนทนาเป็นบางโอกาส เพื่อทำให้คู่สนทนารู้สึกผ่อนคลาย


Tuesday, July 24, 2012

อาการ Burnout และวิธีแก้ไข

อาการ Burnout  เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่มีการแข่งขันสูง ผู้คนทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อน ซึ่งอาการเช่นนี้สามารถส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการงาน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งต่อสุขภาพของตนเอง

Lifehacker แนะนำวิธีสังเกตุอาการ Burnout รวมทั้งแนะนำวิธีการแก้ไขเบื้องต้นไว้ดังนี้ครับ

7 อาการของคนที่เกิดอาการ Burnout
  1.  นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
  2.  ทำงานหนักมากจนรู้สึกล้าแต่ผลงานกลับไม่คืบหน้า
  3.  เกิดอาการป่วยบ่อยๆ โดยหาสาเหตุไม่ค่อยได้
  4.  เกิดอาการเฉยเมยไม่สนใจต่อสภาวะรอบตัว
  5.  เกิดอาการหลงลืมเพิ่มขึ้น
  6.  หงุดหงิดง่าย ไม่เว้นแม้กระทั่งต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง คนรัก หรือคนในครอบครัว
  7.  รู้สึกหดหู่ซึมเศร้า

6 วิธีเบื้องต้นในการแก้ไขภาวะ Burnout
  1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  การนอนหลับที่เพียงพอช่วยลดความเครียด เสริมสร้างความจำและสมาธิ  ช่วยให้ประสิทธิภาพของงานดีขึ้น 
  2. ออกกำลังกายเป็นประจำ  การออกกำลังกายเป็นการเพิ่มสมรรถภาพของสมองและเป็นวิธีลดความเครียดได้ดีที่สุด
  3. หาเวลาอยู่กับธรรมชาติ   การศึกษาพบว่าการอยู่กับธรรมชาติ เช่นเดินเล่นในสวนสาธารณะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี พื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้น 1% ลดความเครียดของผู้อยู่อาศัยได้ 1% เช่นกัน
  4. หยุดพักเป็นระยะเมื่อต้องทำงานต่อเนื่อง การศึกษาพบว่าการทำงานต่อเนื่องแบบไม่พักนาน 50 นาที ทำให้ความสามารถในการจดจำและสมาธิลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการพักเป็นระยะ 2 ครั้งช่วยแก้ปัญหานี้ได้
  5. จำกัดชั่วโมงทำงานให้เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ การศึกษาพบว่าการทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงทำให้ได้งานที่มีประสิทธิผลที่สุด และเป็นการเพิ่มเวลาส่วนตัวให้กับพนักงานซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเบื่อหน่ายอ่อนล้าในการทำงาน
  6. หาเวลาพักร้อนเพื่อเดินทางท่องเที่ยว การเดินทางท่องเที่ยวช่วยลดอาการ Burnout ได้เป็นอย่างมาก นักวิจัยพบว่าภายในเวลา 5 สัปดาห์หลังการลาพักร้อนเพื่อเดินทางท่องเที่ยว คนทำงานส่วนใหญ่้จะมีความเครียดลดลง มีปัญหาสุขภาพน้อยลง นอนหลับได้ดี และมีอารมณ์โดยรวมดีขึ้น

ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นก็ได้เวลาพบแพทย์แล้วครับ

Saturday, July 14, 2012

วิธีทำน้ำยาบ้วนปากไว้ใช้แก้ขัด

ประโยชน์ของน้ำยาบ้วนปากคือช่วยทำความสะอาดช่องปากและซอกฟันในส่วนที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง  Lifehacker แนะนำวิธีทำน้ำยาบ้วนปากไว้ใช้เองในยามที่น้ำยาบ้วนปากหมดกระทันหันหรืออยากประหยัดเงินจากการซื้อน้ำยาบ้วนปากซึ่งส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างสูง



วิธีทำง่ายมากครับใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่างคือ เกลือ 1 ช้อนชา, Baking Soda 1 ช้อนชา และน้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว  ผสมทั้งหมดให้เข้ากันและใช้บ้วนปากแทนน้ำยาบ้วนปากทั่วไปได้ทันที ถึงแม้จะไม่มีกลิ่นหอม  นอกจากนี้เกลือยังช่วยลดอาการเจ็บคอ และช่วยให้แผลในปากหายเร็วขึ้นอีกด้วย

ที่มา: http://lifehacker.com/5924889/make-your-own-mouthwash

Tuesday, July 10, 2012

9 วิธีเพิ่มพลังสมองอย่างง่ายๆ - Increase Your Brain Power!



สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์  สติปัญญาของคนเราที่แตกต่างกันก็มาจากสมรรถภาพของสมองของแต่ละคน  ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งสมมติฐานว่าสติปัญญาของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แต่แรกเกิดและแก้ไข้ปรับปรุงไม่ได้  แต่จากการศึกษาพบว่าเราสามารถปรับปรุงความสามารถของสมองได้ด้วยการฝีกฝน  ซึ่ง Lifehack ได้บอกเคล็ดลับวิธีการเพิ่มพลังสมองไว้ดังนี้

  1. หาสิ่งใหม่ๆ ทำ  การศึกษาพบว่าทุกครั้งที่เราริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ สมองของเราจะถูกกระตุ้นและเกิด neural pathways ใหม่ๆ เป็นการเพิ่มสติปัญญา  การริเริ่มสิ่งใหม่ๆ อาจรวมถึงการออกกำลังวิธีใหม่ๆ, การทำอาหารสูตรใหม่ๆ ฯลฯ
  2. ออกกำลังเป็นประจำ  การแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังทำให้การทำงานของสมองโดยรวมดีขึ้ัน และเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท
  3. ฝึกความจำ  เริ่มง่ายๆ ด้วยการฝึกจำหมายเลขโทรศัพท์สำคัญๆ และฝึกจำหมายเลขเอกสารสำคัญๆ เช่น passport, credit card ฯลฯ ค่อยๆเพิ่มหมายเลขขึ้นเรื่อยๆ  ในที่สุดจะทำให้ความสามารถในการจำของเราดีขึ้นเรื่อยๆ
  4. มีความกระตือรื้นร้นอยากรู้อยากเห็น  อย่าดำเนินชีวิตอย่างเรื่อยๆ เฉื่อย ตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไร และจะมีผลอย่างไร
  5. คิดบวก ความเครียดและวิตกกังวลทำลายและยับยั้งการเกิดของ brain neurons  การสำรวจพบว่าการมองโลกในแง่บวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในอนาคต เป็นการเพิ่ม brain neurons และมีผลในการลดความเครียดและอาการวิตกกังวล
  6. บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัก ผลไม้ และปลาซึ่งอุดมด้วย OMEGA3 ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับสมอง  การศึกษายังพบว่า 20% ของสารอาหารที่เราบริโภคและ oxygen ที่เราหายใจเข้าไป ถูกใช้เพื่อการทำงานของสมอง
  7. หมั่นอ่านหนังสือ  การศึกษาพบว่าการอ่านช่วยลดความเครียด นอกจากเพิ่มพูนความรู้แล้วการอ่านยังกระตุ้นจินตนาการ ซึ่งเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองอีกวิธีหนึ่ง
  8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  การนอนหลับเปรียบเสมือนการทำ detox ให้สมอง  การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกาย ซ่อมแซมและเสริมสร้างสมองให้กลับมากระปรี้กระเปร่าเมื่อเราตื่นนอน 
  9. ลดการพึ่งพาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีผลให้การใช้งานสมองน้อยลง เช่นใช้แผนที่ธรรมดาและใช้ GPS ในกรณีจำเป็นจริงๆ  รวมถึงใช้เครื่องคิดเลขเมื่อต้องคำนวณอย่างซับซ้อนเท่านั้น ส่วนการคำนวณขั้นพื้นฐานให้ใช้สมองของเราเอง
หมั่นฝีกฝนเป็นประจำเพียงเท่านี้เราก็จะรู้สึกถึงพลังสมองของเราที่เพิ่มขึ้นครับ

Wednesday, July 4, 2012

เคล็ดลับว่ายน้ำให้เร็วขึ้น อยู่ที่นิ้วมือ!

โดยทั่วไปเรามักจะคิดว่าเวลาว่ายน้ำ ควรจะบังคับให้นิ้วมืออยู่ชิดกันเพื่อให้ฝ่ามืออยู่ในสภาพคล้ายกับใบพายเพราะจะช่วยให้ว่ายน้ำได้เร็ว แต่จากการศึกษากลับพบว่าเป็นความคิดที่ผิดเพราะวิธีที่จะช่วยให้เราว่ายน้ำได้เร็วขึ้นคือการแบนิ้วมือออกจากกันเล็กน้อย



Adrian Bejan ศาสตราจารย์ด้าน mechanical engineering จาก Duke University in Durham รัฐ Carolina เป็นผู้ดำเนินการศีกษาวิจัยและตีพิมพ์ลงใน Journal of Theoretical Biology  ว่าการแผ่นิ้วมือทั้ง 5 ออกจากกันให้ได้ ประมาณ 20% ถึง 40% ของเส้นผ่าศูนย์กลางของฝ่ามือ จะช่วยเพิ่มแรงในการขับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าถึง 53% เมื่อเทียบกับการบังคับนิ้วมือให้อยู่ชิดกัน สาเหตุเนื่องจากเป็นการลดแรงต้านของน้ำลง  โดย Adrian Bejan บอกว่านักว่ายน้ำอาชีพส่วนใหญ่จะรู้เทคนิคนี้ดีอยู่แล้ว

พวกเราที่ชอบว่ายน้ำก็สามารถลองทดสอบเทคนิคนี้ได้ ส่วนผมก็คงได้แต่นำมาให้อ่านกันเท่านั้นเพราะว่ายน้ำไม่เป็นครับ!