Thursday, July 30, 2009

อาการภูมิแพ้อาหาร - Food Allergies

คนที่มีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นๆ หายๆ หาหมอเป็นว่าเล่น เปลี่ยนหมอรักษาไม่รู้กี่คน แต่พักนึงก็เกิดอาการภูมิแพ้ก็ขึ้นมา เรียกว่ามียาแก้แพ้เป็นเพื่อน  เชื่อหรือไม่ว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดได้เพราะ "การกิน" ยิ่งกิน สุขภาพยิ่งแย่  ยิ่งเพี้ยนไปกันใหญ่ ทั้งหมดเป็นเพราะอาการที่เรียกว่า "ภูมิแพ้อาหาร"
อาการ เหล่านี้ยิ่งเด็กยิ่งเป็น เพราะมีการพบว่า มีเด็ก 3% จะมีอาการเหล่านี้ และจะลดน้อยลงเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีความรุนแรงตั้งแต่เบาะๆ ได้แก่คัน บวม เป็นผื่น ไปจนถึงรุนแรงจนเสียชีวิต หรือก่อให้เกิดโรค เรื้อรังอื่นๆ ได้



อาการการแพ้เหล่านี้มีทั้งแบบเฉียบพลันและแบบแฝง

แบบเฉียบพลัน นั้น พบได้บ่อยเกิดจากกลไกระบบภูมิต้านทานกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันใน กระแสเลือดหรือในเนื้อเยื่อที่ไวต่อความรู้สึก เช่น จมูก คอ ปอด ผิวหนัง หรือทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคัน บวมที่ปาก คอ ทำให้หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก ปวดท้อง ท้องร่วงได้ อาหารที่ทำให้แพ้เฉียบพลัน นั้นมักจะพบในอาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู ถั่ว บางคนอาจแพ้ปลา แพ้ไข่ เป็นต้น การแพ้แบบนี้ ถ้าเป็นในเด็กอาจหายเมื่อโตขึ้น แต่ถ้าเกิดในผู้ใหญ่มักจะต้องแพ้ไปตลอดชีวิต

ส่วนการแพ้ชนิดแฝงนั้น อาการจะไม่แสดงอย่างชัดเจน ผู้ป่วยจึงจะไม่รู้ตัวต่อเมื่อกินอาหารแบบนั้นอยู่ซ้ำๆ สม่ำเสมอ จนเม็ดเลือดขาวไม่สามารถขจัดออกไปได้ ทำให้เกิดการตกค้างของสารอาหาร ก่อให้เกิดการอักเสบที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกายอย่าง ต่อเนื่อง ผลก็คืออาจเกิดโรคที่เรื้อรังอย่างที่นึกไม่ถึง เช่น หวัด หูน้ำหนวก ไซนัส ข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ ซึมเศร้า สมาธิสั้น ออทิสติก เป็นต้น อาหารที่อาจทำให้เกิดภาวะเหล่านี้มักอยู่ในกลุ่มอาหารประเภท นม ไข่ ถั่ว

นอกจากการแพ้อาหารที่ว่าแล้ว ยังมีอีกอาการหนึ่งที่เรียกว่าการรับอาหารไม่ได้ ซึ่งอาการนี้ที่เห็นได้บ่อยคือ คนที่ย่อยนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่าคนแพ้นม อาการเหล่านี้เกิดจากน้ำย่อยที่ลำไส้สร้างขึ้นเพื่อมาย่อยน้ำตาลนมเกิดภาวะ บกพร่อง เมื่อน้ำตาลนมไม่ถูกย่อย แบคทีเรียก็จะเริ่มทำงาน สร้างก๊าซขึ้น จึงทำให้เกิดอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสียได้ อาการเหล่านี้นอกจากนมแล้ว สารอาหารปรุงแต่งรส กลิ่น สี ประเภทสีผสมอาหาร ผงชูรส สารป้องกันเชื้อรา ก็อาจจะทำให้เกิดอาการในรูปแบบร้อนซู่ซ่า ปวดหัว เจ็บหน้าอก หมดแรง หงุดหงิด หอบหืด

การออกกำลังกายอาจทำให้อาการแพ้เกิดขึ้นมาได้ เพราะอาหารบางอย่างอาศัยความร้อนของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น โดยจะมีอาการคัน เบาศีรษะก่อนที่จะเกิดการแพ้ได้ ดังนั้นวิธีเลี่ยงได้ดีที่สุดคือ ควรงดรับประทานอาหารก่อนกำลังกาย 2 ชั่วโมง และอย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารหรือสารอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ด้วย อาการภูมิแพ้เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมอีกด้วย

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ตรวจหาภูมิแพ้ได้หลายวิธี รวมไปถึงโปรแกรมการตรวจหาภูมิแพ้อาหารแฝงได้มากถึง 96 ชนิดสามารถติดต่อสอบถามจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ ได้

ที่มา: http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02spo03090752&sectionid=0219&day=2009-07-09

วิธีบริหาร EQ (emotional quotient)

ขณะนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับ ภาวะความกดดันที่กำลังถาโถมมาทุกทาง ความกดดันที่ทำให้ตัวเลขจากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึงร้อยละ 20 หรือประมาณ 6-12 ล้านคน และใน 6-12 ล้านคนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะบรรดา working woman ที่ต้องแบกภาระทั้งในและนอกบ้าน ความเครียดที่สะสมไม่สามารถขจัดไปได้นั้นอาจ นำไปสู่อาการทางจิตจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้




ต้นเหตุที่เกิดขึ้นนี้ทางวิชาการเขาเรียกว่า EQ ชื่อเต็มๆ ก็คือ emotional quotient  หรือที่เรียกกันว่า ความฉลาดทางอารมณ์ที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ

คนที่มีอีคิวดีก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรียนรู้ที่จะแสดงออก สามารถสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง และยังตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาด สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คน สถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่ถ้าอีคิวไม่ดีก็จะไม่รู้จักกับการบริหารอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตได้ในที่สุด

น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์กล่าวว่า คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิตน้อย จึงไม่สามารถบริหารจัดการความเครียดได้ อีกทั้งสังคมยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา IQ (intelligence quotient) หรือความฉลาดทางสติปัญญาจนมองข้ามในเรื่องของอีคิวไป ทำให้เกิดคนไทยเราเกิดความเครียด วิตกกังวล และส่งผลให้คนมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นทุกปี

วิธีการบริหารอีคิวให้แข็งแรงนั้น คุณหมอให้ข้อแนะนำไว้ว่า

1.ต้องรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากกว่าการที่จะต้องคอยกล่าวโทษคนอื่นหรือ สถานการณ์ บางครั้งการที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด มุ่งมั่นความสำเร็จมากเกินไปก็อาจทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง

2.ควรแยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองให้ได้ ไม่จำเป็นต้องตอบสนองความรู้สึกนั้นทุกครั้ง แต่การคิดอย่างมีเหตุผลจะสามารถช่วยควบคุมการตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้

3.รู้จักใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจบ้างในบางครั้ง แต่ควรจะควบคู่ไปกับการใช้สติด้วย

4.รู้จักที่จะนับถือความรู้สึกของผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้

5.ควรควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือแสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

6.หาเรื่องบวกในอารมณ์ลบ เช่น หาเหตุผลในเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ เพื่อฝึกให้เป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น จิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นสามารถต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งต่อไปได้

7.อย่าทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นตลอดเวลา ควรรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์จากคนอื่นจะช่วยให้เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเสริมสร้างให้อีคิวเข้มแข็งตลอดไป

ที่มา: http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02spo03270752&sectionid=0219&day=2009-07-27

Thursday, July 9, 2009

Predict Child Growth - วิธีคาดคะเนความสูงของเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีวิธีการคาดคะเนความสูงของเด็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกต้อง 100%  แต่สูตรที่ใช้คำนวณความสูงในอนาคตของเด็ก ที่ได้รับความนิยมและใช้กันทั่วไป มีวิธีคำนวณดังนี้
  • นำความสูงของพ่อและแม่ รวมกันจะเป็นเซ็นติเมตรหรือนิ้วก็ได้
  • บวก 5 นิ้ว (13 เซ็นติเมตร) สำหรับเด็กชาย ลบ 5 นิ้ว (13 เซ็นติเมตร) สำหรับเด็กหญิง
  • ผลลัพธ์ที่ได้ให้หารด้วย 2
  • ความสูงของเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะบวกหรือลบไม่เกิน 4 นิ้ว (10 เซ็นติเมตร) จากผลลัพธ์ที่ได้




ข้อควรจำอย่างหนึ่งก็คือ ความสูงของเด็กถูกควบคุมด้วยยีนส์ และการเจริญเติบโตในเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนก็จะเติบโตเร็วกว่า ขึ้นอยู่กับอาหาร สิ่งแวดล้อม และกรรมพันธ์  ถ้าเรากังวลว่าลูกของเราไม่เจริญเติบโตตามวัย  ก็ควรปรึกษาแพทย์ครับ

ที่มา:  Jay L. Hoecker, M.D.  Mayo Clinic