Friday, February 27, 2009

สธ. เตือนถึงตาย สาวฮิตฉีด "Glutathione -ยามะเร็ง" ให้ผิวขาว

สธ. เตือนสาวอยากขาวใช้ยา"กลูตาไธโอน" รักษามะเร็งฉีดเข้าร่างกายหวังให้เกิดผลข้างเคียงผิวขาว ชี้อันตรายโดยเฉพาะหากไม่ใช่แพทย์ฉีดให้เพราะหากพลาดถูกเส้น เลือดดำถึงตายได้ และจะช่วยให้ขาวได้เฉพาะตอนใช้ยาเท่านั้นหากหยุดเมื่อไหร่สีผิวก็จะกลับมา เหมือนเดิม แฉอีกไข่มุก น้ำลายหอยทาก และไข่ปลาคาเวียร์ ที่กำลังฮิตนำมาผสมกับเครื่องสำอางอ้างบำรุงผิวพรรณ ทาง การแพทย์ไม่พบว่ามีสรรพคุณดังกล่าว พร้อมติงโฆษณา ครีมกันแดดเกินจริง อ้างมีค่าความเข้มข้นในการป้อง กันเป็นร้อยๆ จริงๆ แล้วค่าสูงสุดมีแค่ 50 เท่านั้น และต้องทาแบบหนาเตอะถึงจะป้องกันได้เต็มที่ หากทาบางๆ ค่าความเข้มข้นก็จะลดลงอีก





เมื่อวันที่ 26 ก.พ. รศ.น.พ.ประวิตร อัศวานนท์ ประธานวิชาการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีการสอบถามเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับไข่มุก ไข่ปลาคาเวียร์ น้ำลายหอยทาก ทั้งที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้โดยตรง โดยอ้างว่าเพื่อบำรุงผิวพรรณนั้น ขอยืนยันว่าจากการสืบค้นข้อมูลทางการแพทย์ ไม่พบว่ามีสรรพคุณในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณแต่อย่างใด รวมถึงสารกลูตาไธโอนที่เป็นยารักษาโรคมะเร็ง แต่นิยมนำมาทำให้ผิวขาว ก็ยังไม่พบว่ามีการวิจัยทางการแพทย์ในมนุษย์ยืนยันสรรพ คุณดังกล่าว จึงไม่สามารถตอบได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ดีหรือไม่ดี

"ในส่วนของทองคำ พบว่ามีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการสมานผิว ลดการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงรักษาโรคปวดข้อ ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่ในโบราณ จึงไม่แปลกใจว่าเรื่องทองจะทำให้ผิวพรรณดีขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ อานุภาพของเงินกับทองที่มีขนาดเล็กมาก อาจเข้าไปสะสมตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย" รศ.น.พ.ประวิตรกล่าว

รศ. น.พ.ประวิตรกล่าวว่า ในอดีตเรื่องความสวยงามเป็นกระแส ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ คอลลาเจน ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต้องมีคำเหล่านี้ดึงดูดผู้บริโภค ขณะนี้มีเรื่องของเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ โดยมีครีมที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์สำหรับทา เพื่อให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง เพราะสเต็มเซลล์จะใช้วิธีฉีดเท่านั้น อีกทั้งการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์รับรองแต่เพียงการใช้เพื่อการรักษาโรค ทางโลหิตวิทยาเท่านั้น ดังนั้นเครื่องสำอางที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์นั้นไม่เป็นความจริง อย่างมากก็แค่มีสารในน้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์เท่านั้นซึ่งไม่ต่างจากมอยส์เจอไร เซอร์ธรรมดาเลย แต่ในอนาคตยอมรับว่าเรื่องสเต็มเซลล์กำลังจะเป็นคำตอบในหลายเรื่อง แต่ขณะนี้ไม่ใช่

"นอกจากนี้ได้รับการสอบถามอย่างมากมาจากผู้บริโภค ว่า เห็นผู้ป่วยที่ไปรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวรักษาด้วยยารักษาโรคมะเร็งเม็ด เลือดขาวและมะเร็งทางเดินอาหาร อิมาทินิบ แล้วทำให้ผิวขาวขึ้น จึงมีคนมาถามกันเป็นจำนวนมาก จึงเกรงว่าจะเป็นกระแสที่จะนำยาดังกล่าวมาทาน อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายาอิมาทินิบคงไม่มีนิยมมากเหมือนกับที่นำยารักษาโรค มะเร็งอย่างกลูตาไธโอนมาใช้ เพราะยาดังกล่าวมีราคาแพงเกือบแสนบาทต่อเดือน จึงขอเตือนผู้บริโภคทั้งหลายให้ระมัด ระวัง เพราะยาดังกล่าวถือว่าเป็นยาที่ดีในการรักษาโรคมะเร็ง แต่ไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้เพื่อหวังผลข้างเคียงในเรื่องผิวขาว เพราะเมื่อหยุดทานสีผิวก็จะกลับตามกรรมพันธุ์" รศ.น.พ.ประวิตรกล่าว

รศ. น.พ.ประวิตรกล่าวว่า วิธีที่ทำให้ผิวขาวแต่ก็คงไม่ขาวเกินกรรมพันธุ์ของแต่ละคนคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นการกางร่ม ใส่แว่นดำ รวมถึงการใช้ครีมกันแดด ซึ่งอยากเตือนประชาชนทั้งหลายว่า ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดหรือเอสพีเอฟ ที่มีค่าเกินกว่า 100 หรือค่าที่สูงกว่า 50 นั้นเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากวิธีทดสอบประสิทธิภาพของครีมกันแดดมาตรฐานสหภาพยุโรปตรวจได้ไม่ เกิน 50 เท่านั้น ซึ่งค่าที่สูงๆ เท่ากับว่าการทดสอบยังไปไม่ถึง

" นอกจากนี้ค่าเอสพีเอฟที่เครื่องสำอางระบุไว้นั้น เป็นค่าที่ต้องใช้ทาใบหน้าในปริมาณครึ่ง-1ช้อนชา หรือหากทาตัวจะต้องทาปริมาณ 35 กรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณคนปกติไม่ใช้ เนื่องจากจะเยิ้มมาก เท่ากับว่าปริมาณที่ทาใบหน้าหากทาในปริมาณที่น้อยกว่าที่กล่าวไปข้างต้นค่า เอสพีเอฟก็จะลดลงตามไปด้วย จากเอสพีเอฟ 50 แต่ทาปริมาณน้อยอาจเหลือแค่ 10-15 เท่านั้น" รศ.น.พ.ประวิตรกล่าว

ด้านน.พ.จินดา โรจนเมทินทร์ หัวหน้าศูนย์เลเซอร์ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า การฉีดสารหรือยาใดๆ เข้าร่างกายถือเป็นเรื่องอันตราย โดยเฉพาะสารกลูตาไธโอนที่นิยมนำมาฉีดให้ผิวขาว จะต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฉีดให้เท่านั้น และต้องทำในสถานพยาบาล ไม่สามารถทำในคลินิกเล็กๆ ได้ เพราะหากผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรงจะไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ที่สำคัญการฉีดสารเข้าร่างกายจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากพลาดฉีดเข้าเส้นเลือดดำผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ในทันที

รศ.น. พ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในวันที่ 4 มี.ค.จะประชุมหารือแนวทางการปฏิบัติในการโฆษณาครีมกันแดดเพื่อให้โฆษณามี ความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชาชนส่วนมากใช้ครีมกันแดดไม่ถูกวิธี จึงห่วงว่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งในต่างประเทศห้ามไม่ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับกันแดดไปแล้ว เนื่องจากพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมีความเข้าใจผิดว่าทาครีมกันแดดแล้วสามารถ ป้องกันแสงแดดได้ แต่กลับพบว่ามีการเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น

รศ. น.พ.นภดลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะปรับฉลาก ของครีมกันแดดให้เป็นไปตามกฎระเบียบใหม่ โดยให้แสดงคำเตือนชัดเจน มีข้อความเช่น การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสงแดด เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายจากแสงแดด ทั้งนี้กฎหมายผ่อนผันให้ผู้ผลิตหรือผู้ขายต้องดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการ เครื่องสำอาง เรื่องการแสดงฉลากคำเตือนที่ฉลากเครื่องสำอางจะมีผลบังคับใช้ภาย ในวันที่ 31 ธ.ค.2553 ซึ่งขณะนี้ผ่อนผันมา 1 ปีแล้ว

"มีประชาชนจำนวนมากร้อง เรียนมายังสมาคม ว่าไปรักษาด้วยสเต็มเซลล์ แต่ไม่ได้ผลตามที่ได้โฆษณาแต่ต้องใช้เงินจำนวนมากกับการรักษา แม้จะไม่มีผลข้างเคียงก็ตาม โดยได้สอบถามว่ามีผลในการช่วยได้จริงหรือไม่ ซึ่งได้ให้คำตอบว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง ซึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้อาจไม่มีสเต็มเซลล์เลยก็เป็นได้" น.พ.นภดลกล่าว

How To Make A Perfect Ponytail: 'สาธิตวิธีทำผมทรงหางม้าอย่างละเอียด'

วันนี้เป็นของฝากสำหรับผู้อ่านที่เป็นสุภาพสตรี "สาธิตวิธีการผูกผมทรงหางม้าอย่างละเอียด"
ชม clip ครับ




Styling Your Hair:How To Make A Perfect Ponytail

Wednesday, February 25, 2009

What Does Your Birthdate Tell?

วันเกิดและเดือนเกิด มีผลต่อชีวิตของเราขนาดไหน  มันบอกอุปนิสัยส่วนตัวของเราได้จริงหรือเปล่า? ทดสอบได้ที่: http://feeds.blogthings.com/whatdoesyourbirthdatepredictaboutyouquiz/





Your Birthdate Predicts You're Fearless




Ever since you were born, you've always been able to assert yourself.

You are confident in carving your own path. Soon enough, other people will be persuaded and follow along.



You are driven and competitive to the point of being impulsive. You'll do just about anything to win.

It drives you crazy when you have to stay still in life. You are too dynamic to stay stagnant.

Monday, February 23, 2009

'กลิ่นตัว' เรื่องที่ทุกคนกลัว แต่ไม่กล้าถาม

สิ่งที่มากับหน้าร้อนที่ทุกคนไม่อยากจะเจอก็คือเหงื่อ พอมีเหงื่อแล้วถึงแม้ไม่ได้ตั้งใจแต่ดันมีกลิ่นโชยมาด้วย อันนี้สิเป็นปัญหาใหญ่




ก่อนจะรู้วิธีแก้มารู้จักที่มาของกลิ่นตัวก่อน...กลิ่นตัวเกิดจากต่อมเหงื่อพิเศษ ชนิดหนึ่งใต้วงแขนชื่อ "ต่อมอะโปครีน" (apocrine gland) ผลิตเหงื่อที่ไม่มีกลิ่นออกมา เมื่อเหงื่อไหลออกมาเคลือบบนผิวหนังจะเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย บนผิวอย่างรวดเร็ว เกิดการย่อยโปรตีนในเหงื่อให้เกิดเป็นสารเคมีมีซึ่งมีกลิ่นตามมา ต่อมอะโปครีนนี้จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากในภาวะที่มีอุณหภูมิสูง ในหน้าร้อนจึงต้องดูแลใต้วงแขนเป็นพิเศษ

สำหรับผลิตภัณฑ์ระงับ กลิ่นตัวสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
  • "ผลิตภัณฑ์ลดการสร้างเหงื่อ" มักเป็นสารในกลุ่มเดียวกับสารส้ม เช่น aluminium salt ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ท่อเหงื่ออุดตัน การขับเหงื่อจึงลดลง และยังช่วยเปลี่ยนกรดไขมันซึ่งระเหยมีกลิ่น ให้กลายเป็นสารไม่ระเหย 
  • "ผลิตภัณฑ์ลดการสร้างกลิ่น" มักเป็นสารที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่นิยมใช้มี 2 ชนิดคือ trichocarbon, trichosan เป็นสารที่มีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นไว้ในตัวได้ 
  • "ผลิตภัณฑ์เพื่อกลบกลิ่นตัว" มักเป็นสารให้ความหอมที่มีกลิ่นแรงกลบกลิ่นเดิม หรือสารให้ความหอมร่วมกันมากกว่า 2 ชนิดผสมอยู่ด้วยกัน เมื่อรวมกับกลิ่นตัวแล้วทำให้ได้กลิ่นใหม่ที่หอมยอมรับได้

บางคนที่แพ้โรลออน อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมมากเกินไป ทำให้เกิดผื่นแพ้เป็นตุ่มน้ำคันบริเวณที่ทาหรือสัมผัส และทำให้เกิดรอยดำในระยะต่อมา  น.พ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์ แนะนำให้เลือกโรลออนแบบไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่มีส่วนผสมของสารลดการสร้างเหงื่อแทน หากลองใช้แล้วยังระคายเคือง แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นอาจมีประสิทธิภาพสูงจนระคายเคืองได้ เช่น เกลืออะลูมิเนียมในกลุ่มสารส้มอย่างอะลูมิเนียมคลอไรด์เฮกซ่าไฮเดรต ควรใช้เกลืออะลูมิเนียมอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองน้อยกว่า เช่น อะลูมิเนียมคลอโรไฮเดรต หรืออะลูมิเนียมไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากของผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อในปัจจุบัน

Sunday, February 22, 2009

The Sunset Test: ทำนายเป้าหมายชีวิตที่คุณวาดฝันไว้

ทำนายเป้าหมายในชีวิตที่คุณวาดฝัีนไว้ ด้วยการเลือกภาพใดภาพหนึ่งจากภาพพระอาิทิตย์ตกดิน 7 ภาพ
จาก: http://feeds.blogthings.com/thesunsettest/





You Crave an Important Life




Your dream is to life a live a life that leaves a mark.

You'd like to have a mission or journey to complete, even if it takes years.



You want your life to be meaningful, and having a final goal brings you meaning.

You'd like to accomplish something big, if only to inspire others to believe it can be done.

Saturday, February 21, 2009

5 Things To Do Before You Sleep

การพักผ่อนนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต  การนอนอย่างเพียงพอจะทำให้เราตื่นขึ้นมา พร้อมกับความสดชื่นพร้อมสำหรับกิจกรรมในวันใหม่   แต่ในความเป็นจริง  ชีวิตของเราไม่ได้ราบรื่นเหมือนกันทุกๆ วัน  บางวันก็เต็มไปด้วยความสุข บางวันก็หนักไปทางเครียดหรือทุกข์  ทำให้พอถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับ  กลับทำไม่ได้เต็มที่อย่างที่ควรเป็น   Gomestic แนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม


  1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับได้สนิท
  2. จดบันทึกงานที่ต้องทำและจัดตารางเวลานัดและเวลาทำงานสำหรับวันรุ่งขึ้น ให้เรียบร้อย ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้ต้องพะวงกับมันจนนอนไม่หลับ
  3. ดูแลสภาพห้องนอนและเตียงนอนให้ดีเหมาะกับการพักผ่อน จัดแสงไฟในห้องนอนไม่ให้สว่างเกินไปจนทำให้นอนไม่หลับ
  4. ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนนอน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนเพลีย
  5. สวดมนต์ หรือทำสมาธิ ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในแต่ละวัน เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับวันต่อไป

Friday, February 20, 2009

World's Largest Shopping Malls: ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

Shopping Mall หรือศูนย์การค้าชนิดครบวงจร  ขยายตัวมากในทวีปเอเซีย จนถึงปีที่แล้ว (2008) ปรากฎว่า 8 ใน 10 ศูนย์การค้าใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในทวีปเอเซีย  ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งในทวีปเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส

คาดว่าภายใน 2-3 ปี Shopping Mall ใหญ่ที่สุดในโลก 10 แห่งจะอยู่ในประเทศจีนถึง 7 แห่ง

ปัจจุบันนี้ Shopping Mall ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ South China Mall ในเมือง Dongguan ประเทศจีน เปิดทำการเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005  ด้วยขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีพื้นที่เกือบ 9 แสนตารางเมตร (9.6 ล้านตารางฟุต)  ภายในศูนย์การค้ามีร้านค้าอยู่ถึง 1,500 ร้านค้า





ด้านล่างเป็นรายละเอียด Shopping Mall ใหญ่ที่สุดในโลก 25 แห่ง ซึ่ง Siam Paragon ของเราอยู่อันดับที่ 23 ครับ

Shopping Mall Year
Opened
GLA           
Square feet
(Square meters)
Total Area Square feet
(Square meters)
Stores
South China Mall Dongguan, China
2005
7.1-million
(660,000)
9.6-million
(892,000)
1,500
Jin Yuan
(Golden Resources Shopping Mall)
Beijing, China
2004 6.0-million
(560,000)
 7.3-million
(680,000)
1,000+
SM Mall of Asia
Pasay City, Philippines
2006
4.2-million
(386,000)*


Dubai Mall
Dubai, United Arab Emirates
2008
3.8-million
(350,000)
5.9-million
(550,000)
1,200
West Edmonton Mall
Edmonton, Alberta, Canada
1981 3.8-million
(350,000)
5.3-million
(490,000)
800
Cevahir Istanbul
Istanbul, Turkey
2005
3.8-million
(348,000)
4.5-million
(420,000)
280
SM City North Edsa
Quezon City, Philippines
1985 3.6-million
(332,000)*
900
SM Megamall
Mandaluyong City
Philippines
1991 3.6-million
(332,000)*
600
Berjaya Times Square
Kuala Lumpur, Malaysia
2005
3.4-million
(320,000)
7.5-million
(700,000)
1,000+
Beijing Mall
Beijing, China
2005
3.4-million
(320,000)
4.7-million
(440,000)
600
Eastwood Mall Complex
Youngstown, Ohio, USA
1969
3.2-million
(297,000)

161
Zhengjia Plaza
(Grandview Mall)
Guangzhou, China
2005
3.0-million
(280,000)
4.5-million
(420,000)

SM City Cebu
Cebu City, Philippines
1991
2.9-million
(267,000)


King of Prussia Mall
Philadelphia, Pennsylvania, USA
1962
2.8-million
(260,000)
327
Mall of America
Bloomington, Minnesota,
USA
1992 2.8-million
(260,000)

4.2-million
(390,000)
520
South Coast Plaza
Costa Mesa, California, USA
1967
2.7-million
(250,000)

280
Millcreek Mall
Erie, Pennsylvania, USA
1975
2.6-million
(242,000)

142
Central Commercial Santafe
Bogota, Columbia
2006
2.7-million
(250,000)

485
Central World Plaza
Bangkok, Thailand
2006
2.6-million
(244,000)

500+
Aricanduva Mall
Sao Paulo, Brazil
1991
2.6-million
(242,000)
3.7-million
(342,000)

535
Chia Tai Square
Shanghai, Jiangsu, China
2005
2.6-million
(240,000)


Dongfang Xin Tiandi
(Oriental Plaza)
Foshan, Guangdong, China

2.5-million
(230,000)
8.6-million
(800,000)

Siam Paragon
Bangkok, Thailand
2005
2.5-million
(230,000)
4.1-million
(380,000)


Del Amo Fashion Center
Los Angeles, California, USA
1975
2.5-million (230,000)

300
Grand Canyon Parkway
Las Vegas, Nevada, USA
2003
2.5-million (230,000)
10

ที่มา:  http://nutmeg.easternct.edu/~pocock/MallsWorld.htm

Thursday, February 19, 2009

Bipolar: โรคใหม่ที่กำลังคุกคามคนไทย

พวกเราเคยเห็นไหมคนอารมณ์แปรปรวน ดีก็ดีจนใจหาย ร้ายก็ร้ายเหลือแสน ปรับเปลี่ยนไวจนเอาใจไม่ถูก ทำเอาคนที่อยู่ด้วยเหนื่อยใจไปตามๆ กัน เอาเป็นว่าถ้าเจอคนแบบนี้อย่าไปโกรธอย่าไปเบื่อเขา แต่ควรจะสงสารและเข้าใจเขา เพราะว่าเขาอาจจะกำลังป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า"ไบโพลาร์" หรือ "โรคอารมณ์สองขั้ว"

โรคชื่อแปลกนี้นับวันที่จะมีคนป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกที คนไทยที่พบตอนนี้มีคนเป็นมากถึง 6 แสนคนแล้ว !!
ที่สำคัญความรุนแรงของโรคนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่อารมณ์ที่เปลี่ยน แต่อาจส่งผลถึงชีวิตก็เป็นได้ จากข่าวคราวที่เกิดขึ้น จนเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์..ทีมีผู้หญิงก่อเหตุโยนหลาน 2 คนลงมาจากคอนโดมิเนียม ก่อนจะกระโดดลงมาฆ่าตัวตายตาม ผลการตรวจพบว่า หญิงรายนี้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์


 มาดูกันโรคนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ?

ไบโพลาร์มาจากคำว่า "bi" แปลว่า 2 และ "polar"ที่แปลว่า ขั้ว และสิ่งที่ถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว ก็คือ อารมณ์
เป็นอารมณ์ที่สุขและทุกข์อย่างเกินพิกัดนานเกินเหตุ อาจมีอาการคึก อาการเศร้า และอารมณ์ปกติสลับกันไปมา

ถ้าอยู่ใน "ระยะคึก" จะอารมณ์ดีมาก พูดคุยเก่ง แต่มักไม่จบเรื่องเพราะความคิด วิ่งเร็วเกินไป มักคิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือคนอื่น แต่อารมณ์ที่ดีอาจจะกลายเป็นฉุนเฉียว ก้าวร้าวเพราะถูกขัดใจ หลายคนใช้เงินเก่ง เล่นการพนัน บางรายหาเรื่องชกต่อย บ้าพลัง

ถ้าอยู่ใน "ระยะเศร้า" ผู้ป่วยรู้สึกเศร้า ท้อแท้ ความคิดไม่แล่น ไม่อยากทำอะไร บางครั้งฉุนเฉียวหงุดหงิด รู้สึกลบกับชีวิต หนักๆ เข้าก็คิดอยากตาย

ทั้งสองระยะจะมีอาการร่วม คือ นอนไม่หลับ หรืออาจจะทำให้ติดยาได้

สาเหตุของการแปรปรวนทางอารมณ์นี้แท้จริงเกิดจากสารเคมีในสมองเกิดความผิดปกติ ซึ่งอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ยิ่งบวกเข้ากับสิ่งเร้าสภาวะกดดันด้านต่างๆ ยิ่งจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการเหล่านี้แสดงออกมาได้โดยไว

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาแปรปรวนแล้วหรือไม่ เรื่องนี้คนใกล้ชิดต้องช่วยกันจับตามองว่ามีพฤติกรรม
ที่ผิดแผกไปจากปกตหรือไม่ เช่น ถ้ามีเรื่องสะเทือนใจเกิน 1-6 เดือนก็น่าจะเข้าข่ายที่จะเป็นไบโพลาร์แล้ว สำหรับการรักษานั้น ต้องบอกว่าโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยแพทย์จะดูว่าสารเคมีตัวไหนขาดหรือเกินก็จะเข้าไปช่วยในจุดนั้น ควบคู่ไปกับการบำบัด และกินยาสม่ำเสมอก็จะกลับมามีชีวิตดีๆ ได้ตามปกติเหมือนเดิม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4081
คอลัมน์ วาไรตี้เฮลท์

Wednesday, February 18, 2009

สมองคิดอย่างไรเมื่อดูภาพวาบหวิวในปฏิทิน

ผลการสำรวจโดยนักวิทยาศาสตร์พบว่าระหว่างที่่ผู้่ชายมองดูภาพหวาบหวินในปฏิทินปลุกใจเสือป่า หรือภาพวาบหวิวในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ สมองของเขาจะประเมินผู้หญิงเสมือนวัตถุชิ้นหนึ่งเท่านั้น

จากการทดสอบด้วยการ scan สมองเมื่อผู้ชายดูภาพสตรีในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย สมองส่วนที่ถูกใช้งานเป็นส่วนเดียวกับที่่ใช้ในการประเมินการทำงานหรือค่าของวัตถุ ในขณะเดียวกันสมองส่วนที่่ใช้สำหรับการเข้าถึงความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นจะหยุดการทำงาน




ผลสรุปของการทดลองพบว่า ภาพเหล่านี้ทำให้ผู้ชายมองผู้หญิงในแง่ความเป็นมนุษย์น้อยลง แต่กลับมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุมากกว่า

Professor Susan Fiske จาก  Princeton University  สหรัฐอเมริกา บอกว่า ผลกระทบนี้อาจส่งผลต่อการทำงานร่วมกันของบุรุษและสตรีในที่่ทำงานอีกด้วย

source: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1147024/Scientist-reveals-men-REALLY-think-look-girlie-calendar.html?ITO=1490

Tuesday, February 17, 2009

What To Do When You're Fired!

บทความจาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4079

ถูกปลดออก...ทำอย่างไรดี ?

คอลัมน์ ถามมา-ตอบไปสไตล์คอนซัลต์

โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา apiwut@riverorchid.com

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใครต่อใครก็พูดถึงแต่เรื่องการปลดพนักงานออก ผมเองก็ได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะมาก มีอีเมล์ฉบับหนึ่งเขียนมาถามผมเกี่ยวกับการปลดพนักงานออก ในอีเมล์แทบจะไม่ได้เขียนอะไรมากเลย ชื่อก็ไม่มี มีแต่คำถามสั้นๆ ที่เขียนว่า...มีข่าวลือภายในองค์กรว่าจะมีการปลดพนักงาน เราควรจะทำอย่างไรบ้างเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง



ดูเหมือนเจ้าของอีเมล์จะพยายาม ปกปิดตนเองมาก แม้แต่เพศยังไม่ต้องการให้ผมรู้เลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมจะพยายามตอบเท่าที่ตอบได้

สำหรับ ข่าวลือเรื่องการปลดพนักงานออกนั้น ผมว่าตอนนี้หลายๆ องค์กรคงจะกำลังประสบกับข่าวลือประเภทนี้ โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติที่มีการปลดพนักงานออกแล้วในต่างประเทศ หรือองค์กรขนาดกลางและเล็กที่มียอดขายที่ลดลงในช่วงหลังของปีที่ผ่านมา

พูดจริงๆ แล้วข่าวลือก็คือข่าวลือ แต่ข่าวลือส่วนมากจะมีความจริงผสมอยู่บ้าง (แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด) และคนส่วนมากจะนิยมเชื่อข่าวลือ โดยเฉพาะข่าวลือที่มาในทางร้ายๆ แต่การมีข่าวลือเรื่องการปลดคนออกมาภายในองค์กร จะเชื่อหรือไม่ อย่างน้อยคุณอาจจะต้องการเตรียมตัวในบางเรื่องไว้บ้าง

สิ่งแรกที่ผม แนะนำในการเตรียมตัว คือการหาข้อมูล โดยข้อมูลที่คุณต้องหาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของคุณ เรื่องอย่างนี้ถึงไม่บอกหลายคนคงเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ที่ผมอยากจะแนะนำในการหาข้อมูลส่วนนี้คือเริ่มจากการมาดูว่ารายได้ที่ ผ่านมาในแต่ละเดือนของเราเป็นอย่างไรบ้าง อะไรที่ได้รับเป็นประจำทุกเดือน แล้วลองศึกษากฎหมายแรงงานดูว่า ด้วยอายุงานของคุณ คุณควรจะได้รับค่าชดเชยกี่เดือน เช่น พนักงานที่ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน จะไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนพนักงานที่ผ่านช่วงทดลองงานแล้วแต่ไม่เกิน 1 ปี จะได้ค่าชดเชย 1 เดือน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีค่าตกใจอีกในกรณีที่ให้ออกจากงานในทันที คือคุณจะได้ 1 เดือนเป็นค่าตกใจเป็นอย่างน้อย (กฎหมายเรียกค่าตกใจนี้ว่า ค่าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า) แต่ถ้าทางองค์กรบอกล่วงหน้า คุณจะไม่ได้ค่าตกใจนะครับ ผมคงพอบอกได้แค่คราวๆ เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายแรงงาน ในรายละเอียดคุณอาจจะต้องไปศึกษาเองเพื่อป้องกันสิทธิของตัวคุณเอง

ทีนี้หลังจากที่คุณได้ศึกษาแล้ว และถ้าข่าวลือที่คุณได้ยินเกิดเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่คุณต้องทำอย่างแรกเลยคือคุณต้องควบคุมตนเองให้ได้ อย่าโวยวาย หรือร้องไห้ฟูมฟายเสียใจจนเกินเหตุ ควบคุมสติของคุณให้ดี อย่าคิดจะแก้แค้นโดยการทำลายเอกสารที่องค์กรให้ไว้ หรือเดินไป ชกหน้านายจ้างเพราะนั่นจะเข้าข่ายเป็นคดีความได้ คุณคงไม่ต้องการที่จะตกงานและมีคดีความติดตัวไปตลอดชีวิต...ใช่ไหม อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำลายชีวิตคุณ

การถูกปลดจากงานไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิตคุณ จงอย่าคิดสั้นเช่นกัน ตั้งสติให้ดีแล้วลองตั้งคำถามกับนายจ้างของคุณเพื่อให้เข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณถูกเลิกจ้าง แล้วที่คุณถูกเลิกจ้างนี้ คุณจะได้อะไรเป็นการชดเชยบ้าง

จากนั้นนำเอาเอกสารเกี่ยวกับการเลิกจ้างและการจ่ายเงินชดเชยที่นายจ้างของคุณให้มา นั่งอ่านดูอย่างละเอียด ดูว่าสิ่งที่เขาให้เพื่อเป็นการชดเชยนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่องค์กรให้นั้นยังไม่เป็นธรรมเท่าที่ควร สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือให้คุณลองไปปรึกษาหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่นสำนักงานแรงงาน ให้เขาช่วยดูว่าคุณพอจะทำอะไรหรือเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง

แต่ถ้าคุณมองว่าสิ่งที่องค์กรให้มานั้นเป็นธรรมอยู่แล้ว จงหยุดคิดเรื่องที่ถูกปลดออกจากงานเสีย เริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะการเลิกจ้างไม่ใช่ความผิดของคุณและก็ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิตของคุณ ตั้งสติแล้วค่อยๆ คิด บางที่วิกฤตบางครั้งก็กลายมาเป็นโอกาสที่ดีของคุณได้ เหมือนกับหลายๆ คนในช่วงวิกฤตปี"40 ที่ถูกให้ออกจากงาน และตัดสินใจมาเปิดกิจการเป็นของตนเอง

ผลที่ออกมาคือรวยกว่าการเป็น ลูกจ้างเสียอีก อย่างคุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เจ้าของแซนด์วิชศิริวัฒน์อันลือชื่อ ก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ในช่วงนั้น

ดังนั้น ถ้าคุณถูกให้ออกจากงาน จงคิดในแง่ดีว่า มันอาจจะเป็นโอกาสที่เปิดขึ้นมาเพื่อให้คุณได้มีโอกาสทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นเจ้านายของตนเอง การมีกิจการเป็นของตนเอง หรือเป็นโอกาสที่คุณจะได้ออกมาพักผ่อนรักษาสุขภาพที่หักโหมมานาน

สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส หลังฝนตกฟ้าก็จะสดใส อดทนสักนิดแล้วเราก็จะผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้

Monday, February 16, 2009

ปรับโฉม Thaiblogzine

 
หลังจากลงมือเขียน blog นี้  ได้พักใหญ่  ก็ได้เวลาปรับโฉมใหม่ให้ blog ซะที หวังว่าจะถูกใจทุกๆ คนครับ  เป็นครั้งแรกที่ผมใช้ template สีขรึมๆ แบบนี้ เพราะชอบที่่แสดงบทความย้อนหลัง 9 บทความไว้ในหน้าแรก  ซึ่งคงช่วยให้พวกเราเลือกอ่านเรื่องที่สนใจได้ง่ายกว่าเดิม

ความจริงแล้ว blog นี้เกิดขึ้นจาก blog Megamisc ที่ผม post เป็นประัจำอยู่  เพราะเกิดความคิดว่าอยากจะแยกเรื่องที่ post เกี่ยวกับ สุขภาพ, How To และ Lifestyle ที่สามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน มาไว้อีก blog นึง ก็เลยเริ่ม post อย่างเป็นกิจจะลักษณะมาตั้งแต่ต้นปี จนถึงขณะนี้ ThaiBlogzine  ก็เริ่มมีพวกเราหลายๆ คน (แต่ยังเป็นจำนวนเล็กๆ) ที่ direct link เข้ามาอ่านโดยตรงและผ่านทาง search engines 

ขอบคุณทุกๆ คนอีกครั้งที่ติดตามอ่านครับ

Sunday, February 15, 2009

CD Pop UP : วิธีทำซองใส่ CD แนวใหม่

ในวันสุดสัปดาห์อย่างนี้  ผมมีวิธีการทำซองบรรจุแผ่น CD หรือ DVD แบบ Pop Up  แนวใหม่ ที่ทำให้ แผ่น CD หรือ DVD ไม่หล่นง่ายๆ และยังหยิบใช้ได้สะดวก




เป็น clip Video และวิธีการตัดกระดาษเพื่อใช้ในการทำซองบรรจุ CD  ถ้าใครมีความคิดสร้างสรรค์อาจนำไปต่อยอดผลิตจำหน่าย สร้างรายได้เข้ากระเป๋า ได้ด้วยครับ







ที่มา: http://www.chungdha.com/2009/02/pop-up-beak-cd-packaging.html

Saturday, February 14, 2009

Be Dad At 13 - ปัญหาสังคมที่ต้องรีบแก้ไข

ข่าวสะท้อนปัญหาสังคมในอังกฤษที่ถูกนำเสนอไปทั่วโลกในวันวาเลนไทน์  ทำให้ใครที่เห็นภาพและข่าวนี้รู้สึกสะท้อนใจแทบทุกคน  เมื่อ The Sun เสนอข่าวของ Alfie Patten เด็กผู้ชายวัย 13 ปี กับ Chantelle Steadman เด็กหญิงวัย 15 ปี กลายเป็นพ่อแม่ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น



Alfie กับ Chantelle มีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งแรกในชีวิตโดยไม่มีการป้องกัน และ Chantelle ก็ตั้งครรภ์ทันที   Alfie ให้สัมภาษณ์นักข่าวตามวิสัยเด็กว่า "มันเป็นการดีที่ได้มีลูก  แต่พวกเราไม่รู้ว่าเราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร พวกเรายังไม่มีรายได้  คุณพ่อจะให้เงินติดกระเป๋าไว้ใช้จ่ายครั้งละ 10 ปอนด์ในบางโอกาส"
Dennis พ่อของ Alfie บอกว่าทุกวันนี้ Alfie ยังต้องไปเรียนหนังสือ และยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก เขาไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะยากลำบากและประสพปัญหาขนาดไหน  ความคิด Alfie ในตอนนี้ก็คือ พ่อและแม่จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของเขาได้ 

นาย Gordon Brown นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ  บอกว่ารัฐบาลกำลังหาวิธีที่่ดีที่สุด ในการป้องกัน ปัญหาเด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  และทำให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

Friday, February 13, 2009

วิธีรีดเสื้อ Shirt สำหรับสุภาพบุรุษ




Video Clip วันนี้อธิบายขั้นตอนการรีดเสื้อเชิ้ตสุภาพบุรุษอย่างถูกวิธี 5 ขั้นตอน ดังนี้

1.  เริ่มรีดจากด้านหลังเสื้อ
2.  รีดแขนเสื้อ
3. รีดขอบแขนเสื้อ
4. รีดด้านหน้าของเสื้อ
5. รีดปกเสื้อ

ชมวิธีรีดเสื้อสุภาพบุรุษจาก Clip ของ Esquire.com นิตยสารสำหรับผู้ชายระดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา



Thursday, February 12, 2009

กินอย่างไร ไม่ให้ป่วย

ว่ากันว่า กองทัพเดินด้วยท้อง...เป็นอุปมาที่บ่งบอกให้เห็นว่า เรื่องของการกินนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ย่อย
แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภัยตามมาเรื่อง นี้ น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กล่าวว่า ถ้าจะทำให้สุขภาพดี อายุยืนยาว ต้องกินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก

อาหารเช้าอย่างราชาที่ว่านั้น ถ้าใครขาดไปชีวิตจะ เริ่มต้นด้วยความเป็นกรด และอาหารที่ควรรับประทานจะเป็นจำพวกคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี และซี ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารต้านความเครียดได้อีกด้วย

ส่วนเมนูเร็วและง่ายที่แนะนำนั้น คือ กล้วยหอม1 ลูก+ส้ม 1 ลูก+นมหรือช็อกโกแลตร้อน 1 แก้ว นั่นเพราะในกล้วยหอมมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ในส้มมีวิตามินซี กากส้มเป็นเส้นใยไฟเบอร์ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป และยังมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ส่วนนมมีทริบโตเฟน ทำให้ร่างกายตื่นตัวและอารมณ์ดี มื้อกลางวัน สามารถกินอะไรก็ได้ตามที่ชอบ เพียงแต่เลือกที่จะบริโภคน้ำตาลและน้ำมันให้น้อยหน่อย ส่วนมื้อเย็นควรเลือกกินพืชผักผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

เมนูมื้อเย็นที่แนะนำอาจเป็นผัดผักสักจาน ส้มตำอีกหนึ่ง ตามด้วยน้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละครึ่งกิโลกรัม หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สีก็ได้ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น ส่วนใครที่เป็นห่วงกลัวว่ากินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตแล้วจะอ้วน ไม่ต้องห่วง คุณหมอแนะนำว่า กินให้ช้า เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม หรือราว 3 ใน 4 ส่วนของจาน ส่วนโปรตีนนั้น สำหรับคนที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรเลี่ยงสัตว์ใหญ่ โดย เฉพาะเลือดของสัตว์ เพราะก่อนสัตว์ตายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนเข้าไปในกระแสเลือด ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนไปกินปลาสักสัปดาห์ละ 3 มื้อ แต่อย่ากินทุกมื้อ อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรขาด นั่นคือ แคลเซียมวันละ 1,200-1,500 มิลลิกรัม โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง และควรเลี่ยงน้ำตาลที่ผ่านการขัดสี เพราะจะมีสารเร่งความเครียด

ส่วนผู้ที่ขาดกาแฟไม่ได้ก็ควรเลี่ยงครีมเทียม โดยใช้นมอุ่นแทน แต่ทางที่ดีก็ควรดื่มกาแฟดำ และไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 แก้ว นอกจากจะกินอาหารดังว่าให้ครบ 3 มื้อแล้ว อย่าลืมเคี้ยวช้าๆ ที่สำคัญควรกินอย่างมีความสุขด้วย

จาก: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552

Tuesday, February 10, 2009

How To Fold Trousers - วิธีพับกางเกงขายาวทั้งแบบมีจีบ และแบบไม่มีจีบ

ตามที่เคยสัญญาไว้ว่า จะพยายามหา clip ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการดูแลตนเอง รวมถึงการดูแลสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างถูกวิธีมาฝาก  วันนี้เลยนำ clip การพับกางเกงขายาวของสุภาพบุรุษอย่างถูกต้อง ตามที่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าพับกัน ทั้งแบบมีจีบและแบบไม่มีจีบมาให้ชมพร้อมกัน 2 clip 2 วิธีครับ



Fast Folding:How To Fold Trousers With Creases



Fast Folding:How To Fold Trousers Without Creases

Monday, February 9, 2009

Why Do Onions Makes Me Cry? - ทำไมน้ำตาไหลเวลาปอกหรือหั่นหัวหอม

หัวหอมที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ สามารถย้อนประวัติการใช้งานไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์  ในสมัยอียิปต์หัวหอมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีบูชาเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พอมาถึงยุคโรมัน หัวหอมถูกใช้เป็นน้ำมันนวดสำหรับบรรดา galdiators ในยุคกลางของยุโรป หัวหอมสามารถใช้ชำระค่าเช่าแทนเงินได้ ส่วนในยุคสมัยปัจจบัน หัวหอมเป็นหนึ่งในผักที่เป็นส่วนประกอบสำหรับอาหารทั่วโลก

คนเป็นจำนวนมากจะมีอาการน้ำตาไหลทุกๆ ครั้งที่ลงมือปอกหรือหั่นหั่วหอม  ซึ่งสาเหตุเกิดขึ้นเนื่องจาก

  1. 1. ทันที่ที่เราปอกหรือหั่นหัวหอม  Cell ของหัวหอมที่ฉีกขาดจะปล่อยสารหลายๆชนิดออกมา รวมทั้ง  allinase enzymes และ amino acid sulfoxides ซึ่งจะทำปฏิกิริยากัน ทำให้เกิด sulfenic acids  
  2. Sulfenic acids จะเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็น thiosulfinates ทันที่เมื่อถูกอากาศ ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นฉุน และมีฤทธิ์ระคายเคืองตอดวงตาของเรา 
  3. บางส่วนของ Sulfenic acids ทำปฏิกิริยากับ LF-synthase enzyme กลายเป็นก๊าซ เรียกว่า syn-propanethial-S-oxide, ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชือว่า  Lachrymatory (crying) Factor เมื่อ ก๊าซ syn-propanethial-S-oxide เข้าสู่ดวงตาของเราจะทำให้เกิดการระคายเคือง ต่อมน้ำตาจึงเร่งผลิตน้ำตาเพื่อขจัดมันออกจาดวงตาของเรา
  4. ด้วยปฏิกิริยาตามธรรมชาติ เราจะใช้มือขยี้ตาทันที ซึ่งยิ่งทำให้น้ำตาไหลมากขึ้น เนื่องจากมือของเราจะมี syn-propanethial-S-oxide เกาะอยู่เนื่องจากการหั่นหัวหอม
  5. ขั้นตอนของปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดขึ้นภายใน 30 วินาทีหลังมีดสัมผัสกับหัวหอมเป็นครั้งแรกเท่านั้น

พวกเราคงสงสัยว่าทำไมเวลาหั่นต้นหอม หรือปอกกระเทียม ถึงไม่มีน้ำตาไหล  คำตอบก็คือ ถึงแม้การหั่นต้นหอมหรือปอกกระเทียม จะเกิด sulfenic acids เช่นเดี่ยวกับการหั่นหรือปอกหัวหอม แต่เนื่องจาก ในต้นหอมและกระเทียมมี LF-synthase enzymes น้อยกว่า ทำให้เกิด syn-propanethial-S-oxide ในปริมาณน้อยมากจนไม่เกิดปฏิกิริยากับดวงตาของเรานั่นเอง

ที่มา: http://www.mentalfloss.com/blogs/archives/22202

Sunday, February 8, 2009

ผักอะไรบ้างมี Oxalic Acid ในปริมาณสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนิ่ว

ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย ในแต่ละวันเราควรบริโภคผักในทุกๆ มื้อ แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคผักบางชนิดก็ต้องรับประทานในประมาณที่เหมาะสม  ซึ่งส่วนใหญ่ผักที่เราควรระวังในการบริโภคจะเป็นผักพื้นบ้าน เช่นผักชีฝรั่ง มันสำปะหลัง ใบชะพลู ผักโขม ยอดพริกขี้ฟ้า หัวไชเท้า ใบกระเจี๊ยบ ใบยอ  สาเหตุเพราะในใบ ยอด และต้นอ่อนของผักประเภทนี้มีกรดประเภทหนึ่งชื่อว่า กรอออกซาลิก (Oxalic Acid) เมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกาย กรดจากผักเหล่านี้จะเข้าไปจับตัวกับแร่ธาตุชนิดอื่น เช่นโซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม หรือ โปแตสเซัียม เป็นต้น  กลายเป็นผลึกอ๊อกซาเลตประเภทต่างๆ  ผนึุกเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดนิ่วไนไต และกระเพาะปัสสาวะนั่นเอง

เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในภาคเกิดนิ่วไนไตและกระเพาะปัสสาววะ โดยทั่วไปเราไม่ควรรับประทานอาหารที่มีกรดอ๊อกซาลิคเกินวันละ 22 กรัมต่อน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม หรือ 378มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ตามผลวิเคราะห์ดูปริมาณกรดออกซาลิคในผักปริมาณ 100 กรัม จากห้องปฏิบัติการของกองโภขนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผลวิเคราะห์จากต่างประเทศ พบปริมาณกรดออกซาลิคในผักดังกล่าวข้างต้นต่อน้ำหนักผัก 100 กรัม ดังนี้

ผักชีฝรั่ง (Parsley) 1700 มิลลิกรัม
มันสำปะหลัง (Cassava) 1260 มิลลิกรัม
ใบชะพลู 1088.4 มิลลิกรัม
ผักโขม (Spinach) 970 มิลลิกรัม
ยอดพริกชี้ฟ้า 761.7 มิลลิกรัม
หัวไชเท้า 480 มิลลิกรัม
ใบกระเจี๊ยบ 389.5 มิลลิกรัม
ใบยอ 387.6 มิลลิกรัม
ผักปัง 385.3 มิลลิกรัม
แพงพวย 243.9 มิลลิกรัม

โดยปกติ กรกออกซาลิกเกิดขึ้นได้เองจากกระบวนการ metabalism ของร่างกาย บางครั้ง แคลเซียมออกซาเลตอาจเกิดจากการได้รับวิตามินบางประเภท เช่นวิตามินซี ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ   ผลึกออกซาเลตก้อนเล็กๆ จะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ผลึกที่มีขนาดใหญ่ประมาณเมล็ดถั่วขึ้นไป ไม่สามารถขับออกได้ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่ออวัยวะในร่างกาย เกิดอาการปวดท้อง ปวดบริเวณสีข้าง ปัสสาวะติดขัด ติดเชื้อ หรือปัสสาวะเป็นเลือด ต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหรือใช้เครื่องสลายนิ่ว การรับประทานผักดังกล่าวข้างต้นซ้ำๆ เป็นประจำ อาจะเป็นการเพิ่มออกซาลิกให้กับร่างกาย จึงควรลดความถึ่ในการรับประทานผักดังกล่าว และเพิ่มการรับประทานผักชนิดอื่นๆ แทน

ผักก็เหมือนกับอาหารประเภทอื่นๆที่เรารับประทาน แม้จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และมีการหมุนเวียนรับประทานไปเรื่อยๆ ไม่ควรรับประทานประเภทเดียวซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจเสี่ยงต่อการสะสมของสารบางอย่าง จนทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ที่มา: ศูนย์ผู้บริโภค CPF

Friday, February 6, 2009

7 วิธีหางานอย่างไรให้ได้งาน: คำแนะนำจาก Guru

วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2552 มีการคาดการณ์ว่าอัตราของคนว่างงานจะสูงกว่า 1 ล้านคนและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มถึง 2 ล้านคน ทั้งจากผู้ที่ถูกปลดออกจากงานและบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีตำแหน่งงานรองรับ เมื่องานดีๆ มีจำนวนจำกัด การสมัครงานอย่างไรให้ได้งานจึงเป็นเรื่องที่หลายคนคิดหนักว่าจะเตรียม ตัวอย่างไรให้เป็นที่ต้องการของนายจ้างโดยเฉพาะกับบัณฑิตจบใหม่ที่ต้องเจอ ศึกหนักในปีนี้


"คนส่วนใหญ่ที่สมัครงานแล้วไม่ได้งานก็เพราะไม่ รู้จักการเตรียมความพร้อม หรือคนรอบข้างที่เป็นที่ปรึกษาไม่ได้มีความรู้จริง เราพยายามเป็นเหมือนโค้ชให้เด็กว่าทำอย่างไรให้เขาโดนใจนายจ้าง สื่อให้ผู้จบการศึกษาใหม่เข้าใจ ที่ผ่านมาไม่ได้นำเสนอความรู้ความสามารถที่จะทำให้บริษัทมั่นใจที่จะรับเข้า ทำงาน เพราะบริษัทย่อมแสวงหาคนที่จะไปช่วยสร้างความเจริญเติบโตมากกว่าจะรับคนที่ มีแนวโน้มจะไม่สร้าง ผลงานเข้าทำงาน ผู้สมัครงานที่อยากจะได้งานก็ต้องมองว่าตนเองสามารถให้อะไรกับองค์กรได้บ้าง และเตรียมพร้อมให้ดี" ปิยะมิทน์ รังษีเทียนไชย กรรมการบริหารบริษัท ควอลิตี้โปรไฟล์ จำกัด กล่าว

นอกเหนือจากการมีโปรแกรมเป็นตัวช่วย แล้ว สิ่งที่บัณฑิตควรรู้เพื่อเตรียมพร้อมเบื้องต้นก็ไม่ควรละเลย จากประสบการณ์กว่า 15 ปีของ "ปิยะมิทน์" ที่ทำงานด้านการแนะแนวให้คำปรึกษาและสรรหาบุคลากรให้กับบริษัทชั้นนำ และมองเห็นปัญหาของผู้สมัครงานมามากมายเขาได้แนะแนวทางก่อนเข้าการสมัครงาน โดยสรุปได้ 7 ข้อต่อไปนี้

1.รู้จักตนเอง ว่ามีศักยภาพด้านไหน รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเองเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก การรู้จักตนเองก็ต้องเริ่มจากการที่เราลองไล่ดูว่าเราต้องการอะไร อยากเป็นอะไร คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักตนเองเพราะใกล้ตัวเกินไปจึงไม่ใส่ใจ ลองคิดดูว่าในระหว่างที่เรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาเราเรียนรู้อะไรมากขึ้น จากตอนมัธยมบ้าง นั่นคือการมองย้อนไปดูประสบการณ์ที่เรามี และต้องย้อนกลับมาถามตนเองว่า ถ้านายจ้างจะจ้างเรา ทุกวันนี้ก็มีโปรแกรมมากมายที่จะช่วยทดสอบ วิเคราะห์ความถนัดในแต่ละด้านหรือบุคลิกภาพของคน


2.รู้ความต้องการตลาด ว่าต้องการคนแบบไหน มีอะไรที่เราสามารถไปสร้าง ประโยชน์ให้กับบริษัทเหล่านั้นได้บ้าง จากนั้นค่อยกลับมาดูว่าเราสนใจงานด้านไหน เมื่อหางานที่เราชอบได้ความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักและพิชิตงานนั้น ให้ได้ก็จะตามมา เหมือนเวลาเราไปชอบใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนั้นให้มากที่สุดเพื่อที่จะชนะใจเขาให้ได้

3. หาองค์กรที่เหมาะกับเรา เป็นใครก็คงต้องการทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่และมั่นคง จึงมีแห่คนไปสมัครจำนวนมากทั้งๆ ที่อาจไม่เหมาะกับตนเอง ในตลาดยังมีองค์กรอีกมากมายที่ไม่ได้ต้องการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจึงไม่ได้ ต้องการคนที่เก่งที่สุด เพราะการรับคนที่พร้อมจะเติบโตไปกับองค์กรจะสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่า ทั้งกับตัวองค์กรเองและคนทำงาน ในขณะที่คนที่มีความสามารถมากๆ เข้าไปทำงานในองค์กรแบบนี้จะรู้สึกเบื่อหน่ายและเกิดปัญหากับองค์กร

4. เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อก้าวไปสู่ การเป็นมืออาชีพจะต้องเรียนรู้การพัฒนาบุคลิกภาพให้น่าสนใจและฝึกตนเองให้มี คุณสมบัติเหล่านี้ คือ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ รู้จักพึ่งพาตนเองและให้ความช่วยเหลือผู้อื่น คุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยทำให้เราก้าวไปสู่การมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้ อื่นได้

5.วิธีการนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคล การเขียนประวัติส่วนบุคคลหรือเรซูเม่อาจหาตัวอย่างได้ทั่วไป แต่ทางที่ดีควรเขียนด้วยตนเอง และเรซูเม่ก็ไม่ควรยาวเกินไปควรเขียนให้สั้น และกระชับจบได้ภายใน 1 หน้า อธิบายเฉพาะเนื้อหาสำคัญ อย่างเช่น ประวัติการศึกษา ประสบการณ์ที่ทำในระหว่างเรียน หรือสิ่งที่เรียนมาเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครอย่างไร หากพิมพ์ด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด การเลือกใช้แบบตัวอักษรก็สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพหรือความสามารถของผู้ สมัครได้ จึงควรเลือกแบบตัวอักษรให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครงาน เมื่อเขียนเสร็จตรวจทานระวังอย่าให้มีข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างปี พ.ศ.เกิด เพราะอาจแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย สุดท้ายอย่างลืมคัดเลือกรูปถ่ายที่ดูดีที่สุดเพราะบุคลิกภาพก็มีส่วนสำคัญใน การรับคนเข้าทำงาน

6.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ถ้าไม่กำหนดเป้าหมายในชีวิตของตนเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเดินไปถึงเป้า หมาย นั่นสิ่งที่หลายคนลืมที่จะวางแผนเส้นทางชีวิตของตนเอง พอเราได้รับการบรรจุงานก็จะคิดว่านายจ้างเป็นคนกำหนดการก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ ใหญ่โตขึ้น แต่จริงๆ แล้วคือตัวเราเองที่ต้องมองว่างานของเรามีพัฒนาการไปถึงไหน มีประสบการณ์พอแล้วหรือยัง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนด เราต้องวางแผนว่ากี่ปีเราจะก้าวไปสู่ผู้เชี่ยวชาญ มืออาชีพ และก้าวไปสู่ผู้บริหาร เมื่อรู้ระยะทางก็จะถึงจุดหมายเร็ว หากเดินเป็นเส้นตรงก็จะถึงเร็ว แต่ปัญหาของคนคือจะมี สิ่งเร้าเข้ามาทำให้เดินหลงทางจนต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จใน ชีวิต ถ้าเราวางแผนชีวิตและรู้ศักยภาพตนเอง แม้นายจ้างมองไม่เห็นเราก็สามารถเปลี่ยนไปสมัครงานในตำแหน่งที่สูงกว่าได้

7. พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เมื่อมีการวางเป้าหมายของชีวิต การพัฒนาตนเองจะทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่มุ่งหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักการจูงใจผู้อื่น มีความสามารถในการนำเสนอผลงาน จัดการประชุม การเจรจาต่อรอง และมีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ รู้ว่าจะจัดการองค์กรอย่างไรให้เจริญเติบโตก้าวหน้า เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทักษะเหล่านี้จะทำให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหารที่ดีในอนาคต

แม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่โอกาสยังเปิดรับให้กับคนที่พร้อมเสมอ

ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ  ฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552

Wednesday, February 4, 2009

อาหารโปรดของมะเร็ง




มะเร็ง โรคร้ายที่ยังเป็นมหันตภัยที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในอันดับต้นๆ เพราะเซลล์มะเร็งเหมือนกับระเบิดเวลาที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถตรวจเจอได้ จนกระทั่งมันเติบโตงอกงามได้ที่

มีความพยายาม หลากหลายที่จะพิฆาตโรคร้ายนี้ให้หมดสิ้น กินยา ผ่าตัด ฉายรังสี และการบำบัดคีโม ยังคงเป็นทางเลือกในการรักษาที่ยังได้รับความนิยมอยู่ หากแต่การรักษานั้นอาจมีผลกระทบไปยังส่วนอื่นของร่างกาย  อีกทั้งอาจจะทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปทำลายเนื้อเยื่อ เซลล์ และอวัยวะที่ดี และอาจทำให้ระบบคุ้มกันถูกทำลาย ทำให้เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์ดื้อยาไปได้

ไม่นานมานี้ โรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอทางเลือกในการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่น นั่นคือการตัดอาหารที่จะไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง

อาหารโปรดของเซลล์ มะเร็งนั้น มีตั้งแต่ "น้ำตาล" อาหารสุดอร่อยที่มะเร็งชอบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลแท้ๆ หรือสารทดแทนความหวาน ก็ล้วนแต่เป็นอันตรายทั้งสิ้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการเลือกของที่มาจากธรรมชาติ อย่างน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อยแทน

"นม" ที่ว่านี้เป็นนมจากสัตว์ ที่จะทำให้ระบบทางเดินอาหารผลิตเมือกขึ้น ผลก็คือเซลล์มะเร็งจะร่าเริง อิ่มหมีพีมัน กินอาหารได้ดีในสภาวะนี้ ดังนั้นควรเลือกที่จะดื่มนมจากพืช หรือนมถั่วเหลือง (ไม่หวาน) แทน

"เนื้อสัตว์" ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู หรือเนื้อวัว ก็ล้วนแต่เป็นของชอบของมะเร็งทั้งนั้น เพราะเนื้อทั้งสองนั้นย่อยยาก หากย่อยไม่หมด อาหารจะบูดเน่าเป็นพิษ ทั้งยังเป็นตัวสร้างกรดในร่างกาย ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นดีเหมาะกับการเติบโตของมะเร็ง ทางเลือกก็คือควรเลือกปลาหรือไก่แทน แต่ถ้าเป็นไปได้การรับประทานพืชหัว เมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้ จะช่วยปรับสมดุลทำให้ร่างกายเป็นด่างมากขึ้น การงดหรือลดเนื้อสัตว์จะทำให้มีเอนไซม์มากพอที่จะเจาะโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลล์ มะเร็งได้

"กาเฟอีน" จากกาแฟ ชา ช็อกโกแลต แหล่งนิยมอีกแห่ง ทางที่ดีควรเลือกดื่มน้ำสะอาดผ่านการกรอง เลี่ยงการดื่มน้ำประปาเพราะอาจมีท็อกซิน และโลหะหนักปนเปื้อน และเลี่ยงน้ำกลั่นเพราะมีคุณสมบัติเป็นกรด ส่วนน้ำผักสดก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่น่ามองข้าม เพราะจะมีเอนไซม์ที่สามารถดูดและซึมซับง่าย

นอกจากอาหารแล้ว "ความเครียด" ก็นับได้ว่าเป็นปุ๋ยชั้นดีที่ทำให้มะเร็งงอกงาม เพราะเมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งกรด การทำใจให้สบาย ให้อภัย คิดเชิงบวก เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย มีความสุขกับชีวิต อยู่ในบริเวณที่มีอากาศดี มีออกซิเจนมาก ออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยพิฆาตมะเร็งได้

ดังนั้นการที่มะเร็งเติบโตอาจเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า การใช้ชีวิตที่ผ่านมากำลังเดินทางผิด
แต่หากถือว่าผิดนั้นเป็นครู และรีบกลับตัวมาเดินในทางที่ควร ก็น่าจะเป็นเรื่องดีดีกว่าจะมาล้อมคอกเอาเมื่อตอนวัวหาย !!

จากวาไรตี้เฮลท์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

Monday, February 2, 2009

เรื่องของ Underwear คับ กับเส้นเลือดขอด

หลายๆ คนคงคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าชุดชั้นในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเส้นเลือดขอดได้อย่างไร


แต่เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขเขาออกมาบอกเต็มๆ แล้วว่า เกี่ยวกันจริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบใส่ชุดชั้นในรัดๆ การที่ถูกรัดมากๆ จะทำให้มีการปิดกั้นหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดดำไม่สามารถสูบฉีดไหลย้อนขึ้นไปที่หัวใจและปอดได้ตามปกติ จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เลือดจึงคั่งอยู่ในหลอดเลือด ผนังของหลอดเลือดดำหรือเส้นเลือดฝอยที่ขาโป่งพองขึ้น ขมวดกันเป็นเกลียว กลายเป็นเส้นเลือดขอดนั่นเอง

อาการของเส้นเลือดขอดนั้นไม่ใช่แค่มี เส้นดำๆ เขียวๆ ขึ้นขดที่ขาแลดูไม่งาม หรือมีรอยนูนที่ชัดเจนเท่านั้น แต่มันยิ่งไปกว่านั้น เพราะถ้าไม่รักษาอาจมีอาการปวดเท้า หรือเท้าบวม มักปวดมากขึ้นเมื่อยืนหรือนั่งนานๆ อาจจะเป็นที่มาของการ เกิดแผลเรื้อรัง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ตะคริวที่ขา ถ้าเป็นมากๆ อาจมีการอักเสบและเส้นเลือดแตก และที่ร้ายที่สุด คือ มะเร็งผิวหนัง และ โรคเ้ส้นเลือดขอดกำลังเป็นปัญหาที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ  ในประเทศไทย

นอกจากการใส่เสื้อชั้นในคับๆ แล้ว คนที่ต้องนั่งนานๆ ก็มีสิทธิ์เสี่ยงสูงถึงร้อยละ 24 รวมไปถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และน้ำหนักเกิน

ปัจจุบันมีวิธีการรักษาด้วยเลเซอร์ แต่เส้นเลือดขอดนั้นจะต้องไม่ใหญ่เกิน 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนวิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดนั้นก็ไม่ยาก แค่ใส่ชุดชั้นในที่พอดีๆ สบายๆ ไม่ต้องรัดติ้วจนเกินไป ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง นอกจากนั้นอย่านั่งนานๆ  ควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถอยู่บ่อยๆ อย่ายืนนานๆ ควรสวมถุงน่องที่ทำมาสำหรับผู้มีปัญหาเรื่อง เส้นขอดโดยเฉพาะ เลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ และข้อสำคัญอย่าอ้วน แค่นี้ก็อยู่ห่างไกล เส้นเลือดขอดแล้ว

จากประชาชาติธุรกิจ