Monday, December 8, 2008

Making Pain worse By Overusing Painkillers - ใช้ยาแก้ปวดศีรษะมากไป ทำให้ปวดศีรษะเรื้อรั้ง

เชื่อว่าพวกเราทุกคนเคยปวดศีรษะ และทุกครั้งที่เกิดอาการปวดศีรษะก็ต้องนึกถึงยาแก้ปวด แต่จากการศึกษาโดยแพทย์เกียวกับระบบประสาทกลับพบว่า การได้รับยาแก้ปวดมากเกิดไปกลับ จะทำให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายขี้นกว่าเดิม

Dr Giles Elrington  ที่ปรึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทจาก Barts and The London NHS Trust ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ บอกว่าประชาชนส่วนน้อย ที่ตระหนักถึงอันตรายจากการได้รับยาแก้ปวดมากเกินไป


ยาแก้ปวดจะระงับอาการปวดในขณะนั้น แต่บ่อยครั้งกลับเป็นสาเหตุของการกลับมาของการปวดอีก ที่เรียกกันว่า " Rebount Headaches"   Dr. Giles Elrington บอกว่ากว่า 40% ของผู้ป่วย ที่เข้ามารับการรักษาอาการปวดศีรษะเป็นประจำในสถานพยาบาลของเขา เกิดจากการได้รับยาแก้ปวดมากเกินไป และอาการปวดศีรษะหายไปภายหลังการหยุดใช้ยาแก้ปวด ซึ่งรวมถึงยาแก้ปวดที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเช่น  Aspirin และ Paracetamol

Dr. Giles Elrington แนะนำว่าคนปกติทั่วไป ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดศีรษะมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์

ในประเทศอังกฤษมีคนประมาณ 1 ล้านคนที่ปวดศีรษะเป็นประจำ (รวมถึงคนที่เป็นไมเกรนด้วย)

ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทหลายๆ คน เริ่มเชื่อว่าอาการปวดศีรษะบ่อยครั้งเกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดในสมองในชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกถึงอาการปวดศีรษะ ทั้งๆที่ไม่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด  และยาแก้ปวดศีรษะทุกๆ ชนิด สามารถทำให้เกิดการปวดศีรษะแบบเรื้อรังได้

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้ได้รับยาแก้ปวดเป็นประจำ เกิดอาการปวดศีรษะแบบเรื้อรัง แต่คาดว่าฤทธิ์ของยาแก้ปวดมีผลกระทบกับความสามารถของระบบการจัดการกับความเจ็บปวดของร่างกายที่มีอยู่เดิม

ในแต่ละปีคนอังกฤษบริโภคยาแก้ปวดคิดเป็นมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท  และภายในปีเดียว  8 ใน 10 คนในอังกฤษเคยซื้อยาแก้ปวดมาบริโภค

บทความจาก Daily Telegraph ช่วยเตือนให้พวกเราระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวดมากขึ้น เพราะแทนที่จะหายปวดหัวจะกลายเป็นปวดหัวเรื้อรังแทน

0 Comments:

Post a Comment